องค์การอนามัยโลก (WHO) และอีกประมาณ 50 ประเทศได้เตือนเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) ที่สหประชาชาติ (UN) เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (ransomware) ต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ ขณะที่สหรัฐฯ ได้กล่าวหาว่ารัสเซียเป็นผู้กระทำการโจมตีดังกล่าว
สำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) รายงานว่า แรนซัมแวร์คือรูปแบบหนึ่งของการแบล็กเมลดิจิทัล ซึ่งแฮกเกอร์จะเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ เช่น บุคคล บริษัท หรือสถาบัน และเรียกเงินเป็น “ค่าไถ่” เพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล
การโจมตีดังกล่าวต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ “อาจส่งผลต่อความเป็นและความตาย” นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันศุกร์ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้เรียกประชุม
“ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าการโจมตีต่อภาคส่วนการดูแลสุขภาพได้เพิ่มขึ้นทั้งในด้านขนาดและความถี่” กีบรีเยซุสกล่าว โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับปัญหานี้
“อาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงแรนซัมแวร์ ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ” เขาระบุเสริม พร้อมเรียกร้องให้ UNSC พิจารณาปัญหานี้
แถลงการณ์ร่วมที่มีลายเซ็นร่วมของกว่า 50 ประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้ ยูเครน ญี่ปุ่น อาร์เจนตินา ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ได้ออกคำเตือนเรื่องเดียวกัน
แอนน์ นอยเบอร์เกอร์ รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวซึ่งระบุว่า “การโจมตีเหล่านี้เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความปลอดภัยสาธารณะและเสี่ยงต่อชีวิตของผู้คนด้วยการทำให้บริการด้านสุขภาพที่สำคัญล่าช้า ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก และอาจคุกคามสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”
แถลงการณ์ยังประณามประเทศที่ยินยอมให้ผู้กระทำการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ดำเนินการจากประเทศของตน
นอยเบอร์เกอร์กล่าวในที่ประชุมพาดพิงถึงรัสเซียโดยตรงว่า “บางประเทศ โดยเฉพาะรัสเซีย ยังคงอนุญาตให้ผู้กระทำการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ดำเนินการจากอาณาเขตของพวกเขาได้โดยไม่ถูกลงโทษ”
ขณะที่ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้บ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของเกาหลีเหนือ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ย. 67)
Tags: UN, WHO, องค์การอนามัยโลก, แรนซัมแวร์