นางสาวดารารัตน์ อุระพันธมาศ หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยเฉพาะจากปัจจัยหนุนทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% มาที่ 2.25% ต่อปี
แต่ในส่วนของTTB นั้นถือว่าเป็นผู้ตามธนาคารอื่นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงยังต้องรอดูท่าทีของธนาคารอี่นๆ ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อน แต่การที่ดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นส่งผลบวกต่อรายได้จากดอกเบี้ยสูงขึ้น ประกอบกับส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นมาที่ 3.13% ในครึ่งปีแรก มากกว่าเป้าหมายที่ธนคารตั้งไว้ 3.1% ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าการส่งผ่านในเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปยังลูกค้าในช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะทำได้ยากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะทางธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ได้แสดงความกังวลและอาจมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือในกลุ่มลูกค้าที่เปราะบาง ซึ่งอาจจะทำให้การส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยทำได้ไม่มากเท่ากับครึ่งปีแรก โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเปราะบางที่ธนาคารต้องให้ความช่วยเหลือ
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปี 66 ที่ตั้งไว้ 3% ยังถือว่ามีความท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ค่อนข้างผันผวน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกยังสินเชื่อของธนาคารติดลบ 0.9% แต่ด้วยกลยุทธ์ของธนาคารที่ไม่เน้นการรุกขยายการเติบโตของสินเชื่อ (Expand Loan Growth) แต่หันมากระจายสินเชื่อในกลุ่มอื่น (Recycle Funding) ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น สินเชื่อ Cash your car สินเชื่อ Top up Cash your home เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับธนาคารและได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ขณะที่สินเชื่อบ้านซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินเชื่อหลักของธนาคารเริ่มมีความตึงตัว จากสถานการณ์ของเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่วนสินเชื่อรถยนต์ใหม่ยังมีการเติบโต ตามยอดขายรถยนต์ที่ยังดีต่อเนื่อง แต่ธนาคารอาจจะมีความระมัดระวังไนการปล่อยสินเชื่ออยู่บ่าง โดยเฉพาะการพิจารณา LTV ของการปล่อยกู้สินเชื่อรถยนต์ใหม่ที่อยู่ไนกรอบที่เหมาะสมกับความเสี้ยง แต่ในส่วนของสินเชื่อรถยนต์มือสอง ธนาคารได้ชะลอการปล่อยสินเชื่อ หลังจากราคารถยนต์มือสองลดลง ทำให้ธนาคารอาจจะต้องแบกรับกับต้นทุนและความเสี่ยงในการขายรถยนต์สูงขึ้น
ด้านสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะใกล้เคียงจากครึ่งปีแรกที่ 2.63% ซึ่งถือว่าลดลงจากไตรมาส 1/66 ที่ 2.73% ซึ่งธนาคารจะควบคุมให้ NPL ไม่เกิน 2.9% ในสิ้นปี 66 ประกอบกับการตั้งสำรองฯของธนาคารยังคงอยู่ในกรอบ 125-135% ซึ่งในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 126%
ส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารนั้นได้มีการกระจายค่าธรรมเนียมกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามา คือ ค่าธรรมเนืยมบัตรเครดิต (Credit card fee) ซึ่งเป็นการช่วยชดเชยรายได่ค่าธรรมเนียมที่มาจากการขายกองทุนรวม ซึ่งเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมหลักของธนาคาร จากสถานการณ์การชะลอตัวของตลาดทุน ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายกองทุนรวมลดลงเหลือเฉลี่ยราว 300 บาท จากช่วงที่ตลาดทุนคึกคักที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งธนาคารได้เห็นโอกาสในการนำรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มใหม่เข้ามาชดเชยค่าธรรมเนียมจากการขายกองทุนรวมที่หายไปได้บางส่วนซึ่งคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในปีนี่จะเติบโตตัวเลข Low single digit ใกล้เคียงเป้าหมายเติบโต 2.9%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ส.ค. 66)
Tags: TTB, ดารารัตน์ อุระพันธมาศ, ธนาคารทหารไทยธนชาต, หุ้นไทย