TISCO เก็ง กนง.คงดอกเบี้ย 2.25% รอบก.พ.ก่อนหั่นกลางปี ลุ้นลงทุนรัฐ-FDI หนุน GDP ปี 68 โต 3%

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ในการประชุมนัดแรกของปีในวันที่ 26 ก.พ. 68 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต (Policy Space) ท่ามกลางประสิทธิผลของนโยบายการเงินที่ลดลง โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

“จากสัญญาณที่ กนง. ส่งออกมาในการประชุม Monetary Policy Forum เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ TISCO ESU มองว่า กนง.จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน พร้อมติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายต่างๆของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะนโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ (Tariff)” นายเมธัส กล่าว

TISCO ESU ประเมินว่า กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% หรือ 25 bps จำนวน 1 ครั้งในปีนี้ โดยจะปรับลดในช่วงกลางปี 68 เป็นต้นไป จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มปรับลดตั้งแต่การประชุมนัดแรกของปี 68

โดยภาวะเศรษฐกิจไทย หากย้อนไปในปี 67 พบว่า เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2.5% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของหลายฝ่าย รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่เติบโตเพียง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนถึงความเปราะบางและการฟื้นตัวที่ล่าช้า ซึ่งภาคการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และธุรกิจเอสเอ็มอี ยังคงมีความน่าเป็นห่วง จากอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) ที่ลดลงต่อเนื่อง และข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องกว่า 3 ไตรมาส

อย่างไรก็ตามรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลือโดยเร็ว เพราะหากปล่อยให้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกดดันธุรกิจในประเทศ ต่อไปก็อาจนำไปสู่ การปิดโรงงานและการปลดพนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนที่อ่อนแออยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 68 ยังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ยังมีโอกาสขยายตัวที่ 3% หากภาครัฐสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทั้งจากรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสามารถดึงเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ให้เกิดขึ้นจริง จากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ในปี 67 ที่มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่การบริโภคในประเทศ แม้จะมีแนวโน้มชะลอลงจากปี 67 แต่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ โดยคาดว่าจะมีแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คาดว่าจะมีการแจกเงินเพิ่มเติมอีกหลายเฟส

“เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตที่ 3% แต่มีความเสี่ยงด้านลบ (Downside Risk) หลายประการ ทั้งภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การเติบโตของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง คุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง ความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอี ภาคการผลิตที่เผชิญแรงกดดัน รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด” นายเมธัส กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.พ. 68)

Tags: , , , ,