THAI ลั่นปี 67 รายได้กลับมาเท่าก่อนโควิด สยายฝูงบินเร่งเพิ่มส่วนแบ่ง ขายหุ้นเพิ่มทุนปลายปี

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย (THAI) เปิดเผยว่า ในปี 67 บริษัทฯ จะกลับมามีรายได้รวมใกล้เคียงปี 62 (ก่อนเกิดโควิด) ที่มีรายได้รวม 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่มีรายได้ 1.6 แสนล้านบาท และตั้งเป้าจำนวนผู้โดยสาร 15 ล้านคน จาก 13.76 ล้านคน อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 80% จาก 79.7%

“รายได้รวมปีนี้จะกลับใกล้เคียงปี 2562 แต่จำนวนเครื่องบินไม่เท่า ซึ่งปีนี้ (2567) มีเครื่องบิน 79 ลำ แต่คาดว่าราคาตั๋วลดลงจากการแข่งขันที่มากขึ้น สายการบินต่างๆกลับมาบินเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปีนี้อยู่ระดับสูง เราคาดว่าน้ำมันอากาศยานประมาณ 110 เหรียญ/บาร์เรล” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

สำหรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ยังคงเป็นเรื่องราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทถึง 39% และอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ที่ผ่านมายังสามารถคุมรายจ่ายได้ดี ขณะที่การแข่งขันจะรุนแรงขึ้น ทำให้ค่าโดยสารมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา รวมถึงความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ยุโรปและจีนที่ยังไม่ดีเท่าที่ควรซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางอยู่

*เพิ่มฝูงบินตอบรับเป็นศูนย์กลางการบิน

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวถึงแผนการเพิ่มฝูงบินซึ่งในปี 2567 จะเพิ่มเป็น 79 ลำ (รับมอบ 9 ลำ ได้แก่ แอร์บัส 350 จำนวน 6 ลำ , แอร์บัส 330 จำนวน 2 ลำและ โบอิ้ง 787 จำนวน 1 ลำ) และปี 2569 ฝูงบินเพิ่มเป็น 90 ลำ

ขณะที่ บริษัท ได้บรรลุข้อตกลงการจัดหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 Dreamliner จำนวน 45 ลำ พร้อมสิทธิในการจัดหาเพิ่มเติม (Option Order) อีก 35 ลำ เพื่อนำเข้าประจำการในฝูงบิน ตั้งแต่ปี 2570 – 2576 ตามแผนเครือข่ายเส้นทางบินที่จัดทำขึ้น โดยเป้าหมายปี 2577 จะมีฝูงบินจำนวน 134 ลำ เทียบกับช่วงก่อนโควิด มีฝูงบินจำนวน 103 ลำ

การจัดหาเครื่องบินใหม่ตามแผนนี้ รวมถึงการซ่อมบำรุงเครื่องบินเก่า จะไม่กระทบสภาพคล่อง โดยบริษัทมีเงินเพียงพอที่จะจัดไฟแนนซ์ มีทางเลือกทั้งเช่าดำเนินการและกู้เงิน ซึ่งดูจากฐานะการเงินขณะนี้เครื่อง 45 ลำสามารถซื้อด้วยเงินสดได้ เพราะตามหลักการไม่ได้ชำระทันที กว่าเครื่องบินจะทยอยเข้ามาคือปี 2570 ซึ่งวิธีการจัดหาในครั้งนี้แตกต่างจากอดีต และจัดหาจำนวนมากทำให้ได้เงื่อนไขที่ดี นอกจากนี้จะตอบสนองนโยบายการเป็นศูนย์กลางการบินของรัฐบาลได้ จากที่ผ่านมาทำไม่ได้เพราะเรามีเครื่องบินน้อย

“ในช่วงโควิดการบินไทยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเลย โดยเงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากรัฐบาลคือเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ในการออกหุ้นเพิ่มทุน 7,500 ล้านบาท ในขณะที่สายการบินอื่นทั่วโลก ที่ประสบปัญหา ทั้งเจแปนแอร์ไลน์ ลุฟท์ฮันซ่า ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลทั้งสิ้น แต่การบินไทยฟื้นฟู โดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเลย นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสามารถในการจ่ายคืนเงินกู้และดอกเบี้ยเจ้าหนี้ได้ไม่มีปัญหา” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI กล่าวว่า การจัดหาฝูงบิน ดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์และแผนธุรกิจ ที่จะลดแบบเครื่องบินจาก 9 แบบเหลือ 4 แบบ โดยข้อตกลง การจัดหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 Dreamliner จำนวน 45 ลำ พร้อมสิทธิในการจัดหาเพิ่มเติมอีก 35 ลำ เป็นการจอง Slot การผลิต ยังไม่ได้ตัดสินใจรูปแบบการจัดหาว่าจะเป็น วิธีเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) ,เช่าซื้อ ซึ่งจะประเมินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินก่อน ซึ่งยังมีเวลาตัดสินใจถึงภายในปี 68 ส่วนการจัดหาเพิ่มเติมอีก 35 ลำ จะตกลงการจัดหาและวิธีการก่อน 3 ปีล่วงหน้า จากที่จะได้รับมอบ

“ยืนยันการจัดหาฝูงบินครั้งนี้เป็นไปตามความต้องการของบริษัท ที่จะขยายการให้บริการเพิ่มรายได้และกำไร โดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐานเพื่อดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและชัดเจน โดยผมได้เชิญ 5 บริษัท คือ โบอิ้ง แอร์บัส และผู้ผลิตเครื่องยนต์ ทั้ง Rolls-Royce จีอี และแพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ มาพบเพื่อรับทราบนโยบายของบริษัทในการจัดหาเครื่องบินครั้งนี้ จะเป็นการ deal ผ่านผู้ผลิตโดยตรง ไม่ผ่านตัวแทน นายหน้า โปรกเกอร์ หรือล็อบบี้ยิสต์ ใดๆ “นายชาย กล่าว

การจัดหาเครื่องบินครั้งนี้ถือว่าโปร่งใส ไม่มีค่าคอมมิชชั่นแต่อย่างใด โดยการเพิ่มจำนวนเครื่องบินครั้งนี้จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของการบินไทยเพิ่มขึ้นราว 30-35% จากปัจจุบันอยู่ที่ 21-22%

นายชายกล่าวว่า ประเทศไทยได้เปรียบทำเล แต่เป็นฮับในภูมิภาคไม่ได้ เพราะสายการบินเจ้าบ้านอย่างการบินไทยไม่แข็งแกร่ง ต้องอาศัยสายการบินอื่น ขณะที่ปัจจุบันการบินไทย มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 21% ภายใต้ฝูงบินจำนวนน้อย ซึ่งการจัดหาเพิ่มเป็น 134 ลำในปี 2577 หรืออีก 10 ปี ข้างหน้า มีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็นอย่างน้อย 30-35% และเป็นส่วนที่ทำให้ไทยเป็นฮับได้

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ได้มีการหารือกับ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือทอท.ร่วมมือกันปรับปรุงลดระยะเวลา การต่อเครื่อง จะต้องเป็นมาตรฐานแข่งกับที่อื่นได้ ซึ่งปัจจบันสุวรรณภูมิ มีระยะเวลาในการต่อเครื่องที่สั้นที่สุดไม่เกิน 90 นาที ซึ่งจะต้องลดลงเหลือ 60 นาที ให้ได้ภายในปี 2567 นอกจากนี้ จะต้องมีการจัดการใช้พื้นที่เทอร์มินอล มีการจัดโซนนิ่ง ของกลุ่มสายการบินไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ภาคพื้นและผู้โดยสาร และสามารถลดเวลาและอุบัติเหตุได้ สายการบินวางแผนได้และการล่าช้าลดลง รวมไปถึงการปรับลดเวลาในการตรวจหนังสือเดินทาง และการเพิ่มการใช้ระบบแอพลิเคชั่นมากขึ้น ส่วนระยะยาวเป็นเรื่องการขยายสนามบินของทอท.

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ THAI กล่าวว่า บริษัท พยายามทำทุกทางในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงการหาเครื่องบินที่เหมาะสม ทันสมัย ประหยัดน้ำมันตลอดจนการนำสายการบินไทยสมายล์เข้ามา สามารถบริหารการใช้เครื่องบินจาก 9 ชั่วโมงเป็น 12 ชั่วโมง ตอบสนองการฟื้นตัวของตลาดได้ทันเวลา นอกจากนี้ยังปรับการขายตั๋วโดยตรง ผ่านเวป และ Call Center ที่สะดวกมากขึ้น

การมีเครื่องบินใหม่เพื่อรองรับการเติบโตทางการบินของภูมิภาค ปัจจุบันการบินไทยมีฝูงบิน 70 ลำถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับทำเลที่เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ขณะที่สิงคโปร์มี 154 ลำ หรือ ANA มีกว่า 200 ลำ เมื่อประเมินความต้องการ เครือข่าย แบบเครื่องบินที่น้อยลง ประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงมืออาชีพ จึงให้มีการจัดหา

*เล็งยื่นไฟลิ่งเพิ่มทุน H1/67 คาดขายปลายปีนี้

สำหรับเงื่อนไขสำคัญในการออกจากแผนฟื้นฟู กล่าวว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก และ ต้องมี EBITDA จากการดำเนินงานในส่วนของการบินไทยหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบินไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ในรอบ 12 เดือนก่อนหน้าที่จะรายงานถึงผลสำเร็จการฟื้นฟูกิจการ โดยตามแผนจะมีการแปลงหนี้เป็นทุน และออกหุ้นกู้เพิ่มทุนแล้วเสร็จปลายปี 2567 โดยจะออกจากแผนฟื้นฟูได้ครึ่งปีแรกของปี 2568 และกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

โดยงบการเงินสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2566 บริษัทมี EBITDA 42,875 ล้านบาท แต่ส่วนของผู้ถือหุ้น ติดลบ 43,142 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ติดลบ 71.024 ล้านบาท นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าจะพลิกมาเป็นบวกจากกำไรการดำเนินนงาน และจากการแปลงหนี้เป็นทุน การขายหุ้นหุ้นเพิ่มทุน ที่จะแล้วเสร็จในปี 67 ก็จะทำให้สิ้นปี 67 ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก โดยบริษัทเตรียมยื่นไฟลิ่งการขายหุ้นเพิ่มทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

*ปี 66 พลิกกำไร 2.8 หมื่นลบ.

การบินไทย ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับปี 2566 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 28,096 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2565 ขาดทุน 272 ล้านบาท

ขณะที่มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 161,067 ล้านบาท เป็นรายได้จากกิจกรรมขนส่งผู้โดยสารที่เติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 79.3% โดยรายได้ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวของปี 2566 ดังกล่าว เพิ่มขึ้น 53.3% จากปี 2565 และคิดเป็นสัดส่วน 87% ของปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19

ในปี 2566 มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสุทธิเป็นรายได้ 2,201 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจากการขายสินทรัพย์ โดยมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 1,066 ล้านบาท นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) 15,611 ล้านบาท

บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวม 238,991 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% มีหนี้สินรวม 282,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 43,142 ล้านบาท ติดลบลดลง 27,882 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ มีเงินสด รวมตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำ และหุ้นกู้ ที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จำนวน 67,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32,590 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีอากาศยานที่ใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 70 ลำ แบ่งเป็นแบบลำตัวกว้างและลำตัวแคบ จำนวน 50 ลำ และ 20 ลำตามลำดับ และในตารางการบินฤดูร้อนปี 2567 ให้บริการเที่ยวบินสู่ 61 เส้นทางบินทั่วโลก ในเส้นทางบินยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย พร้อมเพิ่มความถี่เที่ยวบิน อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซิดนีย์ เพิ่มจุดบินใหม่ 4 เส้นทาง ได้แก่ ออสโล มิลาน เพิร์ท และ โคจิ เพื่อรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบิน จำนวนเที่ยวบิน และความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.พ. 67)

Tags: , , ,