STA-STGT กอดคอร่วง คาดกำไร Q1/65 หดรับราคาขายถุงมือยางปรับลงต่อเนื่อง

หุ้น STA,STGT ร่วง โดยเมื่อเวลา 11.24 น.หุ้น STA ลบ 5.22% หรือ 1.30 บาท มาที่ 23.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 261.49 ล้านบาท จากราคาเปิด 24.70 บาท สูงสุด 24.70 บาท และ ต่ำสุด 23.30 บาท ส่วน STGT ลบ 5.83% หรือ 1.40 บาท มาที่ 22.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 288.52 ล้านบาท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 25.00 บาท จากเดิม 28.00 บาท อิง PER 8 เท่า โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 จะหดตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) หรืออยู่ที่ 1,275 ล้านบาท (-79% YoY, -21% QoQ) สาเหตุหลักมาจากราคาขายถุงมือยางที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยในไตรมาส 1/65 จะลดลงมาอยู่ที่ 0.82 บาท/ชิ้น จาก 1.06 บาท/ชิ้นของไตรมาส 4/64 ขณะที่ปริมาณขายใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ gross margin อยู่ที่ 15.2% ลดลง YoY และ QoQ

แต่ในส่วนของธุรกิจขายยางธรรมชาติยังดีต่อจากทั้งปริมาณและราคาขายที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65/66 ลง 30% และ 15% ตามลำดับ จากราคาถุงมือยางที่ลดลงเร็วกว่าคาด บนสมมติฐาน

1.ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70 และ 0.56 บาท/ชิ้น

2.gross margin อยู่ที่ 14.7%/14.2%

3.ปริมาณการขายถุงมือยางอยู่ที่ 37 และ 51 พันล้านชิ้น

4.ปริมาณการขายยางธรรมชาติอยู่ที่ 1.6 และ 1.9 ล้านตัน

ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -3% และ -19% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 ที่ยังเดินหน้าลดลง QoQ ต่อเนื่อง จากราคาถุงมือยางที่ปรับตัวลดลง และยังไม่เห็นแนวโน้มการฟื้นตัว จึงยังคงแนะนำ ถือ จากมองว่าในปี 66 ราคาขายถุงมือยางมีโอกาสปรับตัวลดลงในอัตราที่ช้าลง และธุรกิจยางธรรมชาติยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 66 มีโอกาสกลับมาเติบโตได้ YoY ปัจจุบัน STA เทรดอยู่ที่ PER 7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมยางในอดีตที่ประมาณ 8 เท่า

ส่วน บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ยังคงคำแนะนำ “ขาย” ปรับเป้าหมายลงเป็น 14.00 บาท จากเดิม 19.50 บาท จากการปรับกำไรสุทธิปี 65 ลง โดยประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 ลดลงอย่างมากทั้ง YoY และ QoQ อยู่ที่ 823 ล้านบาท (-92% YoY, -55% QoQ) จากราคาขายถุงมือยางที่ลดลงต่อเนื่อง หรือคาดว่าราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยในไตรมาส 1/65 จะอยู่ที่ 0.82 บาทต่อชิ้น (-64% YoY, -25% QoQ) จาก supply ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากประเทศจีนและมาเลเซีย โดยเฉพาะถุงมือยางกลุ่มไนไตรล์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ gross margin จะลดลงอย่างมากทั้ง YoY และ QoQ อยู่ที่ 22% ในส่วนของปริมาณขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น YoY จากกำลังการผลิตเพิ่ม และทรงตัว QoQ

ปรับกำไรสุทธิปี 65/66 ลง 65%, 48% หรืออยู่ที่ 2,724 ล้านบาท (-89% YoY) และ 2,488 (-9% YoY) สะท้อนราคาถุงมือยางที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จากสมมุตฐาน 1.ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยปี 65/66 อยู่ที่ 0.70/0.56 บาทต่อชิ้น ลดลงจากปีก่อนที่ 1.74 บาทต่อชิ้น 2.gross margin อยู่ที่ 20%/18% ลดลงจากปีก่อนที่ 59.4% และ 3.ปริมาณการขายอยู่ที่ 37 และ 50 พันล้านชิ้น ราคาหุ้นปรับตัวลง underperform -5% และ -15% ใน 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ลดลง QoQ ต่อเนื่องจากราคาขายถุงมือยางลดลง

โดยยังคงแนะนำ ขาย จากราคาจากแนวโน้มราคาถุงมือยางที่มีโอกาสปรับตัวลงได้ต่อ จาก supply ที่เพิ่มขึ้นมาก และ demand ที่จะลดลงจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลง โดยเชื่อว่าหลังจากประกาศงบไตรมาส 1/65 กำไรสุทธิ และราคาเป้าหมายจาก consensus จะมีการปรับลงเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ค. 65)

Tags: , , , ,