นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้โตกว่าครึ่งปีแรก จากเตรียมบันทึกกำไรจากการซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Paiton Energy ในอินโดนีเซีย ของ PT Paiton Energy และ Minejesa Capital B.V. กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,045 เมกะวัตต์ ในสัดส่วน 36.26% และธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าของ IPM Asia Pte,Ltd. สัดส่วน 65% หลังจากที่บริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RHIS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของ RATCH ได้บรรลุเงื่อนไขบังคับก่อนต่างๆ ของสัญญาซื้อขายหุ้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยอยู่ระหว่างดำเนินการชำระเงิน มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท
ทั้งนี้จะสามารถเดินเครื่องกำลังการผลิต (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน เวียดนาม กำลังการผลิตติดตั้ง 29.7 เมกะวัตต์ ได้ภายในเดือนก.ย.นี้ จากปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และรอเตรียมการทดสอบความน่าเชื่อถือของการเดินเครื่องเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ร่วมกับผู้รับซื้อไฟฟ้า (EVN)
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตของ NREI และ RAC รวม 9 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,116.98 เมกะวัตต์ โดย 4 โครงการ ตั้งอยู่ในฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญของบริษัทฯ ประกอบด้วยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่ง และโครงการพลังงานลมบนชายฝั่ง และในทะเล อีก 2 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 550 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีโครงการพลังงานน้ำและลมในเวียดนามอีก 2 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 65.15 เมกะวัตต์ และอีก 3 โครงการในออสเตรเลีย ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 502 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แสวงหาโอกาสต่อยอดการลงทุนและประสานความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำในการขยายฐานธุรกิจในตลาดเดิม ได้แก่ ไทย สปป.ลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม และออสเตรเลีย ทั้งในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและนอกภาคการผลิตไฟฟ้า โดยพิจารณาการลงทุนผสมผสานทั้งโครงการประเภท Greenfields หรือ Brownfields รวมทั้งการเข้าซื้อกิจการที่ดำเนินงานแล้ว เพื่อให้พอร์ตการลงทุนสมดุลและอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุน หรือซื้อกิจการ (M&A) ในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable) กำลังการผลิตราว 300-500 เมกะวัตต์ คาดหวังว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
บริษัทฯ ยังคงงบลงทุนปีนี้ราว 35,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการขยายการเติบโต โดย 29,000 ล้านบาท จะใช้ในธุรกิจไฟฟ้า สำหรับครึ่งปีแรกที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนแล้ว 651 ล้านบาท โดยลงทุนในโครงการที่มีอยู่เดิมที่อยู่แล้วและกำลังก่อสร้าง ส่วนที่เหลืออีก 6,000 ล้านบาท จะใช้ในธุรกิจ Non-Power ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาใช้ไปแล้ว 301 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีความสนใจในธุรกิจสมาร์ทพาวเวอร์, ธุรกิจบริการทางการแพทย์และดูแลสุขภาพที่จะไปกับพันธมิตรหรือบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า(Ev car) ซึ่งบริษัทได้วางเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA ของธุรกิจที่ไม่ใช่พลังงานให้เป็น 10% ภายใน 5 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันอยู่ที่ 5% และขยับขึ้นเป็น 20% ในอนาคต
ส่วนปี 67 เบื้องต้นตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาท รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ ทั้งในรูปแบบ Greenfields และ M&A กำลังการผลิตรวม 700 เมกะวัตต์
นางสาวชูศรี กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้า EBITDA จะเติบโตมากกว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี จากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 7,798 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์และบริหารประสิทธิภาพทางการเงิน และยังคงเป้ากำลังการผลิตรวมที่ 10,807.35 เมกะวัตต์ (ปี 66-76) โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) 7,873.96 เมกะวัตต์ และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างอีก 2,933.39 เมกะวัตต์ รวม 20 โครงการ ซึ่งจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 76
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 66)
Tags: RATCH, ชูศรี เกียรติขจรกุล, ราช กรุ๊ป, หุ้นโรงไฟฟ้าไพตัน, หุ้นไทย