นางสาวฉันทนุช โชติกพนิช หุ้นส่วน และหัวหน้าสายงานดีลส์ บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า PwC ประเทศไทย คาดปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการของไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 66 หลังธุรกิจส่วนใหญ่กลับมาปัดฝุ่นแผนการควบรวมกิจการจากที่ภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ชะลอการทำดีลตั้งแต่ไตรมาส 4/65 สอดคล้องกับแนวโน้มเชิงบวกทั่วโลก
โดยซีอีโอถึง 60% ที่ถูกสำรวจยังคงรุกแผนควบรวมกิจการในปีนี้แม้จะมีปัจจัยแวดล้อมที่กดดันการดำเนินธุรกิจตลาดการควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition: M&A) ของไทยมีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 66 หลังปริมาณและมูลค่าการควบรวมเห็นการชะลอตัวในปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับปี 64 เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้กิจกรรมการทำดีลโดยรวมต้องหยุดชะงัก แต่เชื่อว่ากิจกรรมการควบรวมในปีนี้จะไม่สูงเท่ากับในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อปี 64
“แนวโน้มของการควบรวมกิจการของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีโอกาสที่จะฟื้นตัวแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ต้องการจะโตต่อ ธุรกิจที่กำลังแสวงหาธุรกิจอื่นที่ตนยังขาด หรือธุรกิจที่ต้องการผันตัวเองไปยังอุตสาหกรรมอื่น รวมไปถึงผู้ที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ หรือ new s-curve จะเริ่มกลับมาซื้อหรือขายกิจการกันอีกครั้ง” นางสาวฉันทนุช กล่าว
ปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการของไทยนั้นปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอแผนการควบรวมเพื่อรอดูสถานการณ์ให้ปัจจัยหลายๆอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งเวลานี้สัญญาณของการฟื้นตัวเริ่มชัดเจนขึ้นโดยฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายของดีลหลายๆดีลกลับมาเตรียมตัวกันใหม่อีกครั้ง
“เมื่อธุรกิจเดินมาถึงจุดหนึ่งย่อมจะไม่สามารถพึ่งพาการเติบโตจากภายในเพียงอย่างเดียวได้ หากต้องการเติบโตอย่างก้าวกระโดดฉะนั้น การทำ strategic M&A และการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตโฟลิโอ จึงกลายมาเป็น catalyst ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม” นางสาวฉันทนุช กล่าว
แนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับรายงาน Global M&A Industry Trends: 2023 Outlook ของ PwC ที่คาดว่ากิจกรรมการควบรวมกิจการทั่วโลกน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หลังจากนักลงทุนและผู้บริหารปรับสมดุลระหว่างความเสี่ยงระยะสั้นและกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในระยะยาว โดยซีอีโอมากกว่าครึ่ง (60%) ที่ถูกสำรวจ กล่าวว่า ไม่มีแผนที่จะชะลอการควบรวมกิจการในปีนี้แต่อย่างใดแม้จะมีปัจจัยเชิงลบที่กดดันการดำเนินธุรกิจก็ตาม
สำหรับปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการทั่วโลกในปี 65 รายงานระบุว่า ปรับตัวลดลง 17% และ 37% จากปี 64 ที่ปริมาณการควบรวมแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยจำนวนดีลมากกว่า 65,000 ดีล (คิดเป็นมูลค่า 5,268 พันล้านสหรัฐ) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค รวมไปถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ยสูง การประเมินมูลค่าหุ้นที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามในยูเครน และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น เช่นเดียวกับปริมาณและมูลค่าการควบรวมกิจการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ปรับตัวลดลง 23% และ 33% ในช่วงระหว่างปี 64 ถึง 65 นำโดยสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีปริมาณและมูลค่ากิจกรรมการควบรวมปรับตัวลดลงมากที่สุดที่ 46% และ 35% ตามลำดับ
สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และอุปสงค์ของการส่งออกที่ลดลง ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่างๆที่ต้องการขยายตลาดเข้าสู่เอเชียจึงมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดอื่น ๆ แทนไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายงานระบุว่า ในปี 65 ปริมาณการควบรวมกิจการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีจำนวนทั้งสิ้น 16,238 ดีล (เปรียบเทียบกับ 21,166 ดีล ในปี 64) ขณะที่มูลค่าการควบรวมอยู่ที่ 826 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เปรียบเทียบกับ 1,233 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 64) นอกจากนี้ รายงานของ PwC ยังระบุถึงกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีโอกาสจะเห็นกิจกรรมการควบรวมในปีนี้ ประกอบไปด้วย
1. อุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม: การเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของหลายธุรกิจโดยกิจกรรมการควบรวมด้านซอฟต์แวร์ จะยังคงเป็นกระแสหลักของกลุ่มธุรกิจนี้ เช่นเดียวกับในปี 65 หรือคิดเป็นสองในสาม (71%) ของดีลในกลุ่มเทคโนโลยี และสามในสี่ (74%) ของมูลค่าดีล ขณะที่การควบรวมกิจการในกลุ่มธุรกิจอื่นๆของอุตสาหกรรมที่น่าจะเป็นจุดสนใจในปีนี้ ได้แก่ โทรคมนาคม เมตาเวิร์ส และวิดีโอเกม
2. อุตสาหกรรมการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและยานยนต์: การเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ จะช่วยผลักดันการซื้อและการขายกิจการของอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การควบรวมกิจการที่มุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืนและการเร่งเปลี่ยน แปลงองค์กรสู่ดิจิทัล
3. อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน: การหยุดชะงักที่เกิดจากแพลตฟอร์มและการเข้ามาของฟินเทคทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วทั่วทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมและขับเคลื่อนการควบรวมกิจการ เพราะผู้เล่นต้องการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล
4. อุตสาหกรรมพลังงาน สาธารณูปโภค และทรัพยากร: การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน จะยังคงเป็นภารกิจสำคัญสำหรับนักลงทุนและทีมผู้บริหารในการเคลื่อนย้ายเงินทุนขนาดใหญ่ไปสู่การควบรวมกิจการและการ พัฒนาโครงการเงินทุนอื่นๆ
5. อุตสาหกรรมตลาดผู้บริโภค: ในขณะที่พฤติกรรมของผู้บริโภค ยังคงเป็นความท้าทายที่ดำเนินต่อไปในปี 66 การทบทวนพอร์ตโฟลิโอ และการมุ่งเน้นการทำธุรกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะช่วยสร้างโอกาสในการควบรวมกิจการ
6. อุตสาหกรรมสุขภาพ: ความจำเป็นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโต จะขับเคลื่อนกิจกรรมการควบรวมกิจการในปี 66 โดยเทคโนโลยีชีวภาพ การทดลองทางคลินิกและการรับทำวิจัยตามสัญญา/การพัฒนายา การรับวิจัยทดลองในสัตว์ และการผลิตตามสัญญา เทคโนโลยีทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพของลูกค้าโดยตรง และโซลูชันการดูแลสุขภาพทางดิจิทัล จะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก
สำหรับธุรกิจที่มีความสนใจต้องการซื้อหรือขายกิจการผ่านการควบรวมปีนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเตรียมความพร้อมหลังจากที่หลายๆ ธุรกิจได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงาน ปรับโครงสร้างลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่างๆที่ดำเนินการไปในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งความสามารถที่แท้จริงของกิจการจะถูกสะท้อนออกมาในงบการเงิน และช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินศักยภาพของตัวเองเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 66)
Tags: PwC, ฉันทนุช โชติกพนิช, ภาวะเศรษฐกิจ, รัฐศาสตร์, หุ้นไทย