นายคงกระพันธ อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. [PTT] เปิดเผยว่ากลุ่มปตท. ตั้งเป้า EBITDA เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีหรือปี 70 โดยมาจากส่วนของ PTT ราวหมื่นล้านบาท และบริษัทย่อยรวม 20,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นปรับโครงสร้างธุรกิจ นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพิ่มกำไร ลดต้นทุน รวมทั้งหาพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาเสริมแกร่ง
พร้อมตั้งงบลงทุน 5 ปี (ปี 68-72) 5.5 หมื่นล้านบาท โดยในปีปี 68 จะใช้งบลงทุนราว 2.5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจก๊าซ และอีกส่วนลงทุนในธุรกิจเทรดดิ้ง ขณะที่ปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่
“การลงทุนเยอะไม่ได้แปลว่าดี ด้วยปัจจัยความผันผวนต่าง ๆ เราเลือกลงทุนในสิ่งที่ได้กำไรแน่ ๆ และความเสี่ยงต่ำ อาทิ ลงทุนด้านดิจิทัล การ Synergy ด้านผลิตภัณฑ์ และการปรับพอร์ต พวกนี้อยู่ในการควบคุมของเรา มันอาจดูลงทุนไม่เยอะ แต่ต้องดูความคุ้มค่า”นายคงกระพัน กล่าว
ปี 68 บริษัทคาดหวังผลการดำเนินจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความมั่นคง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการปรับโครงสร้าง ปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก
แผนระยะสั้นบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจทั้งกลุ่ม ขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออก รวมทั้งต่อยอดโครงการ P1 ไป D1 ขยายความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในประเทศ เพิ่มมูลค่าต่อยอดจากโครงการ P1 เร่งสร้าง Synergy ในกลุ่ม โดยใช้งบลงทุนประมาณปีละ 3,300 ล้านบาทภายใน 3 ปี
นอกจากนี้ยังลงทุนด้าน Digital Tranformation ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ระบบ Cloud , Data Center , Cyber Security เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยลงทุน 2,000 ล้านบาทต่อปีจนถึงปี 69 นอกจากนี้ บริษัทยังคงทบทวนธุรกิจที่ไม่สร้างกำไร โดยมีแผนดึงพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง
ขณะที่การลงทุนโรงงานรถยนต์ EV ที่มีการร่วมทุนกับบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn Group) นั้น ปัจจุบันบริษัทให้ Foxconn เป็นผู้นำในการดำเนินงาน ซึ่ง PTT อาจจะไม่ได้ลดบทบาทไปทั้งหมด แต่เรื่องไหนที่ไม่เชี่ยวชาญก็จะหาพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมลงทุน ส่วนจะมีพาร์ทเนอร์รายอื่นเข้ามาร่วมกับ Foxconn หรือไม่ ยังไม่ทราบ
สำหรับภาพรวมธุรกิจปี 68 ธุรกิจปิโตรเคมี ยังทรงตัว ๆ โดยได้รับแรงกดดันจากอุปทานที่มากเกินความต้องการ ธุรกิจโรงกลั่นกำลังการผลิตลดลงในปีนี้ เนื่องจาก TOP จะปิดซ่อมบำรุงตามกำหนด ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Upstream ปริมาณขายเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 67 จากแหล่งต่าง ๆ ที่เข้าไปสำรวจ ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยคาดว่าจะปรับลดลง ด้านก๊าซธรรมขาติปริมาณการจองใช้ท่อส่งก๊าซ และ LNG terminal สูงขึ้น
นายคงกระพัน เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า PTT จะปรับพอร์ตบริษัทย่อย ซึ่งประกอบธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ได้แก่ บมจ.ไออาร์พีซี [IRPC], บมจ.ไทยออยล์ [TOP] และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล [PTTGC] โดยยืนยันว่าไม่มีแผนควบรวม แต่อาจเป็นการเข้าใจผิด เพราะบริษัทมีแผนจะพูดคุยกับพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมในธุรกิจดังกล่าวเพื่อทำให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น ขณะที่ PTT ยังยืนยันการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
“เราไม่ได้มีการศึกษาการควบรวมแน่นอน ความคืบหน้าการพูดคุยกับพันธมิตรอยู่ระหว่างการพูดคุยหลายรายในหลากหลายธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าในทิศทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้”นายคงกระพัน กล่าว
สำหรับกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ระบุถึงการปรับระบบ Pool Gas เพื่อปรับลดค่าไฟ นายคงกระพัน กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีการเรียกคุย และยังไม่เห็นสัญญาณการพูดคุย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.พ. 68)
Tags: PTT, คงกระพันธ อินทรแจ้ง, ปตท., หุ้นไทย