เริ่มต้นเดือนมิ.ย. เท่ากับใกล้เส้นตายพรรคก้าวไกลในคดียุบพรรคข้อหาล้างการปกครอง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญขีดเส้นให้พรรคชี้แจงภายใน 2 มิ.ย.นี้ หลังจากได้ขยายเวลาให้เต็มที่ถึง 3 ครั้ง ซึ่งต้องจับตาการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 12 มิ.ย.นัดพิจารณาคดีนี้ ว่าจะมีความคืบหน้าออกมาอย่างไร
ย้อนเส้นทางคดีก่อนเข้าสู่คำร้องยุบพรรค
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชี้ว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ และพรรคก้าวไกล เสนอแก้ไขมาตรา 112 พร้อมทั้งรณรงค์และนำไปหาเสียงเลือกตั้ง สส. เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหาษัตริย์เป็นประมุข พร้อมสั่งให้ยุติการกระทำทุกอย่างเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112
เมื่อกฎหมายกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะวินิจฉัยลงโทษแค่ให้ยุติการกระทำเท่านั้น วันรุ่งขึ้นนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความที่เป็นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคน ได้หอบหลักฐานมาร้องต่อ กกต.ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคแบบทันทีทันควัน
จนกระทั่งวันที่ 12 มี.ค.67 ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ให้สำนักงาน กกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
ต่อมาวันที่ 3 เม.ย.67 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับพิจารณาคำร้องของ กกต.ที่ขอให้วินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล จากกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง โดยให้พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาฯ ภายใน 15 วัน
เมื่อครบกำหนดเวลาชี้แจงข้อกล่าวหาฯ ในครั้งแรก ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งขยายเวลาให้ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาฯ ออกไปอีก 15 วันตามที่พรรคก้าวไกลร้องขอจนถึงวันที่ 3 พ.ค.67 และเมื่อวันที่ 1 พ.ค.67 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งขยายเวลายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาฯ ออกไปอีก 15 วันเป็นครั้งที่ 2 จนถึงวันที่ 18 พ.ค.67 และครั้งที่ 3 ขยายออกไปถึงวันที่ 2 มิ.ย.67
ปูด “ยุบ” ก้าวไกล หนึ่งในขบวนการ 3 ล้ม
ล่าสุดนายวันชัย สอนศิริ สว.ออกมาให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีกลุ่มบุคคลที่รวมตัวเฉพาะกิจเคลื่อนไหวเป็นขบวนการเพื่อโค่นรัฐบาลเศรษฐา ยุบก้าวไกล ทำลายการเลือก สว.
ล้มแรก คือ ล้มรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ลงให้ได้ เพราะถ้าล้มรัฐบาลเศรษฐาลงได้ ก็จะมีการเซท ซีโร่ในอำนาจนั้น แล้วก็เริ่มนับหนึ่งใหม่ ตัวเองจะได้เข้ามามีอำนาจในครั้งใหม่นี้
ล้มที่สอง คือ ล้มหรือยุบก้าวไกล เพราะถ้ายุบก้าวไกลได้ พรรคก็จะแตกกระสานซ่านเซ็น สส.ก็จะต้องหาที่อยู่ใหม่ภายใน 30 วัน ตอนนั้นพรรคตัวเอง หรือพรรคพวกของตัวเองก็จะตามช้อน หรือต้อนเข้าคอก ทำให้มีเสียงเพิ่มมากขึ้น แล้วก็จะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น
ล้มที่สาม คือ ล้มกระดานการเลือก สว. เพราะถ้าล้มได้ สว.ชุดเก่าก็ยังอยู่เหมือนเดิม คอยปฏิบัติภารกิจได้ต่อไป
“ความพยายามของพวกนี้ เป็นวิชามารที่สกปรก หวังแต่เพียงจะสร้างความสับสนวุ่นวาย เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หากล้มรัฐบาลเศรษฐาได้ ก็จะนับหนึ่งกันใหม่ หรือไม่ ก็อาจจะไปถึงขั้นเปิดช่องให้อำนาจนอกระบบเข้ามาก่อรัฐประหาร ซึ่งประมาทไม่ได้” นายวันชัย กล่าว
ยิ่งตัด ยิ่งแตก ยิ่งโต
แต่การยุบพรรคก้าวไกลพ้นทาง จะเป็นทางออกในการสกัดกั้นการเติบโตของการเมืองรุ่นใหม่ ได้จริงหรือไม่นั้น เรื่องนี้นายโอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า แนวทางการยุบพรรคไม่สามารถสกัดกั้นหรือกำจัดกลุ่มการเมืองใหม่ให้สูญสลายไปได้ ในทางตรงกันข้าม กลับจะเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นให้มีผู้สนับสนุนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบกลุ่มอำนาจเก่าอยู่แล้ว
“มองว่าหากมีคำสั่งยุบพรรค จะสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้สนับสนุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากผลเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองแบบ 2 ขั้ว 3 ข้างในขณะนี้”
และหากดูจากผลโพลของสถาบันพระปกเกล้าที่ออกมา ชี้ถึงคะแนนนิยมของพรรคก้าวไกล หลังจากเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 มีเพิ่มมากขึ้น โดยนำโด่งเหนือพรรคการเมืองอื่นหลายเท่าตัว ส่งผลให้ฐานเสียงของพรรคการเมืองเดิม ย้ายมาสนับสนุนผู้สมัครของพรรคทั้ง สส.แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ขณะที่แกนนำพรรคก้าวไกล ได้ประกาศกับมวลชนในการลงพื้นที่ว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปมั่นใจจะได้รับเลือกตั้งเกิน 250 ที่นั่ง
ย้อนกลับไปดูเมื่อครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ ลงเลือกตั้งครั้งแรกกวาด สส. มากว่า 81 คน ก่อนกลายมาเป็นพรรคก้าวไกล ที่สามารถชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 แบบถล่มทลาย
พรรคก้าวไกล จะ “รอด” หรือ “ไม่รอด” คงมีผลต่อการเมืองอย่างแน่นอน เพราะหากผลออกเป็น “บวก” ต่อพรรค จะทำให้การเลือกตั้งในครั้งหน้าจะกวาดที่นั่งแบบแลนด์สไลด์ ไม่ต้องง้อพรรคเพื่อไทยเหมือนที่ผ่านมา
แต่หากผลออกมาเป็น “ลบ” ก็จะทำให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง รวมทั้งบรรดา สส.44 คน ที่ร่วมเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ด้วย เส้นทางการเมืองของพรรคคงต้องประสบชะตากรรมที่ไม่แตกต่างจากพรรคอนาคตใหม่
ส่วนแนวทางการต่อสู้ของพรรคจะเป็นอย่างไร ในวันที่ 9 มิ.ย. จะเห็นความชัดเจน เพราะพรรคก้าวไกลจะเผยแพร่รายละเอียดคำชี้แจงทั้งหมดให้สาธารณะชนได้รับทราบ เพื่อให้เห็นถึงแนวทางต่อสู้คดีของพรรค โดยเชื่อว่าแกนนำของพรรคคงจะกำหนดวิธีรับมือและหาแนวทางเดินหน้าต่อไป แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีที่เป็นการชี้นำสังคม อันอาจจะกระทบต่อการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาลก็ตาม
ผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องรอลุ้นกัน…แบบไม่กระพริบตาทีเดียว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มิ.ย. 67)
Tags: SCOOP, ก้าวไกล, ศาลรัฐธรรมนูญ