นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) ชี้แจงผลประกอบการไตรมาส 1/65 ที่มีกำไรสุทธิ 110.42 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.024 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 54.5 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.012 บาท
โดยผลประกอบการไตรมาส 1/65 ของกลุ่ม MILL กำไรเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งหัวใจสำคัญนอกเหนือจากอานิสงส์ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายในองค์กร โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มตามแผนยุทธศาสตร์หลักให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพราะถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้บริษัทไปสู่เป้าหมายใหญ่คือการเป็น Green Steel
เนื่องจาก MILL เป็นผู้ผลิตเหล็กทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมด้วยการรีไซเคิลอย่างครบวงจร ตลอดจนการกำจัดของเสียอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยของเสียจากขั้นตอนการบดย่อยเศษเหล็กจะถูกนำมาคัดแยกไปใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า มีการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งตระกันจากการหลอมเหล็กสามารถนำมาผสมคอนกรีตในการทำถนนตามหลัก Zero Waste
“กระบวนการดำเนินธุรกิจแบบ Circular Economy คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ MILL เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เราใช้พลังงานที่ผลิตได้เองภายในกลุ่ม สามารถนำของเสียมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ส่งผลให้เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายประวิทย์ กล่าว
ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงไตรมาส 1/65 นายประวิทย์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้เกิดความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากที่สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย
จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 ประเทศไทยมีปริมาณการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปรวมทั้งสิ้น 4.04 ล้านตัน ลดลง 17.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการบริโภคเหล็กทรงยาวอยู่ที่ 1.57 ล้านตัน ลดลง 19.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และการบริโภคเหล็กทรงแบนอยู่ที่ 2.47 ล้านตัน ลดลง 16.6 %เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 1/65 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA อยู่ที่ 241 ล้านบาท ขณะรายได้รวมอยู่ที่ 5,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 5,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% ส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขายเหล็กเส้นและเหล็กแท่งทรงยาวที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น บริษัทจึงมีโอกาสในการทำกำไรจากการขายเหล็กแท่งทรงยาวซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเหล็กเส้นของกลุ่ม MILL
ในส่วนของต้นทุนขายและบริการอยู่ที่ 4,879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 228 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่ม MILL มีการเติบโตทั้งส่วนของธุรกิจหลัก และบริษัทร่วมทุนเริ่มสามารถรับรู้กำไรได้แล้ว โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอยู่ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนการเงินที่ลดลง 5% ส่วนของผู้ถือหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกของบริษัท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 65)
Tags: MILL, ประวิทย์ หอรุ่งเรือง, มิลล์คอน สตีล, หุ้นไทย