MGC ปักธงปี 68 รายได้โต 10% ลุยขยายพอร์ตรถ EV วางเกมเติบโต 3 ปีผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) [MGC] เปิดเผยว่าในปี 68 บริษัทตั้งรายได้เติบโต 10% โดยปีนี้คาดว่าสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% ของยอดขายรวม เป็น 25-30% ของยอดขายรวม พร้อมเตรียมงบลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาท ขยายสาขา MMS Car Service & Tire 5-6 สาขา

กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) ปัจจุบันมีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) รถยนต์ ณ สิ้นเดือนม.ค. 68 1,500 คัน โดยในปีนี้คาดว่าจะไม่มีดีลรถยนต์แบรนด์ใหม่ โดยการเติบโตจะมาจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ขณะที่เรือ ปัจจุบันมีการพูดคุยกับลูกค้าหลายราย โดยในปีนี้จะเน้นขายเรือที่อยู่ในสต๊อกของบริษัท เนื่องจากเรือใหม่ต้องใช้เวลาในการต่อเรือ

ด้านธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องหลังจากจึงจุดคุ้มทุนในปี 67 เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการให้สินเชื่อ Wealth Lending ทำให้หนี้เสีย (NPL) อยู่ในระดับที่ต่ำ

ขณะที่ธุรกิจบริการประกันภัย ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ปี 68 จะมุ่งเน้น Cyber Insurance และ ESG Insurance นอกจากนี้ยังมีการเจรจาดีลกับพาร์ทเนอร์ในไปป์ไลน์ หากปิดได้คาดว่าจะหนุนผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันภัยให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

ปี 2568 ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มความได้เปรียบสูงสุด ให้ธุรกิจในกลุ่มการเงิน, ประกันภัย และยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อน MGC-ASIA สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต สอดรับกับกลยุทธ์การขับเคลื่อนใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) :บริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดรถพรีเมียม เพื่อครองอันดับ 1 โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมพัฒนา MGC-MOBILIFE แพลตฟอร์ม loyalty program ที่มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับ โดยใช้ระบบ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและปรับแต่งให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า

2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) : ปีนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายสาขา MMS Car Service & Tire ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อขยายการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) และเพิ่มบริการให้ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น

3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) : กลุ่มบริษัทฯ วางแผนในการดำเนินธุรกิจ ให้ครอบคลุมการเดินทางให้ครบวงจรทุกมิติ และปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การให้บริการตามการเติบโตของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มที่ให้บริการลูกค้าองค์กรมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ ‘MGC-ASIA Ecosystem’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ให้ทุกกลุ่มธุรกิจ

4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) :สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการเติบโตจากการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิต โดยการนำเสนอการแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางยุทธศาสตร์การเติบโต ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1.STRATEGIC GROWTH OBJECTIVES :โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและรักษาการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความประทับใจกับกลุ่มลูกค้าในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ

2. BUSINESS ECOSYSTEM SEGMENTS :สร้างแบรนด์ร่วม (Co-Branding) สู่การพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงแผนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก โดยบริษัทฯ จะร่วมกับ XPENG และ ZEEKR ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน เพื่อขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

3. SUSTAINABILITY AND INNOVATION: ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณปล่อยคาร์บอน เพื่อต่อยอดสู่พลังงานหมุนเวียน

สำหรับผลการดำเนินงานของ MGC-ASIA ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 145.60 ล้านบาท และ EBITDA ที่ระดับ1,631 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/67 (ตุลาคม-ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรได้สูงสุด โดยมีรายได้รวม 5,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 ที่ผ่านมา(QoQ) และมีกำไรสุทธิ 95.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 888.40% (QoQ) ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 468 ล้านบาท เติบโต 23% (QoQ)

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมานับว่ามีความท้าทาย โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ MGC-ASIA รับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อนที่ภาพรวมการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองประมาณ 9,000 คัน

นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็น, XPENG จำนวน 767 คัน, ZEEKR จำนวน 230 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน42 คัน, MINI Cooper จำนวน 78 คัน, HONDA จำนวน 337 คัน, Harley-Davidson จำนวน 50 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 41 คัน และในไตรมาส 1/68 บริษัทฯ ยังเตรียมส่งมอบรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ พวงมาลัยขวาล็อตแรกของโลก เพื่อต่อยอดผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.พ. 68)

Tags: , ,