นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) เปิดเผยว่าบริษัทยังคงเป้ากำไรสุทธิให้เติบโตเป็นสองเท่าของปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,138 ล้านบาท สู่ระดับ 2,400 ล้านบาทในปี 68 และคาดว่าไตรมาส 3/66 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นโดยเร่งผลิตสินค้าทั้ง ยาสามัญ อาหารเสริม และอื่น ๆ ขยายโรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างแบรนด์ในแต่ละประเทศที่บริษัทมีทีมงานพร้อม เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
สำหรับแผนการออกสินค้า บริษัทมีสินค้าอีกประมาณ 157 รายการที่กำลังรอขึ้นทะเบียน ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังจะสามารถออกสินค้าได้ 13 รายการ ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายในอนาคต โดยในช่วงหลังบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ยามากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Mega We Care ที่มีอยู่ 40 รายการมีสัดส่วนยอดขายมากกว่า 75% ของยอดขายของบริษัท
ความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตยารูปแบบใหม่ คลังสินค้า และพัฒนาโรงงานผลิตยาที่ได้มาในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งใช้งบลงทุน 170 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4/67 และจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี และคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยช่วงที่ก่อสร้างโรงงานใหม่ยังใช้โรงงานเดิมในการผลิตยา ซึ่งบริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ต่อเนื่องเพื่อขึ้นทะเบียนในอินโดนีเซีย
นอกจากนี้แผนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมีงบลงทุน 34 ล้านบาท บริษัทได้พัฒนาการใช้พลังงานสะอาด โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการติดตั้ง Solar rooftop ประมาณ 900 กิโลวัตต์ และกำลังก่อสร้างอีก 700 กิโลวัตต์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างเร็วๆนี้
ไตรมาส 2/66 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 3,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจแบรนด์ Mega We Care อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิตามรายงานในไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 531 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศไนจีเรียเนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินไนจีเรียไนรา เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.ย. 66)
Tags: MEGA, วิเวก ดาวัน, หุ้นไทย, เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์