LHFG ปีนี้เร่งเครื่องดันสินเชื่อโต 7-8% โฟกัส SME ศักยภาพสูง-สินเชื่อบ้านหรู คุม NPL ไม่เกิน 3%

นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในเครือบมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป [LHFG] กล่าวว่า แผนธุรกิจในปี 68 ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 7-8% โดยจะหันมาเน้นการรุกตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ และเป็นกลุ่มที่เติบโตตามลูกค้าขนาดใหญ่ ซึ่งธนาคารตั้งเป้าผลักดันให้สินเชื่อเอสเอ็มอีเติบโต 16% ควบคู่ไปกับการปล่อยสินเชื่อกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่

นอกจากนี้ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนสินเชื่อเอสเอ็มอีผ่านการพัฒนา Product Program ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมทั้งขยายช่องทางการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุน และ อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยจะเปิดสาขาอมตะซิตี้ ชลบุรี ในช่วงต้นไตรมาส 2/68

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังเดินหน้าในการปล่อยสินเชื่อบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยจะหันมาเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงระดับราคาบ้าน 20-50 ล้านบาท จากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านระดับราคา 3-20 ล้านบาท ซึ่งหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มในการผ่อนคลายมาตรการ LTV จะทำให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านระดับราคา 20-50 ล้านบาทกลับมาซื้อบ้านเพิ่มเติม ทำให้ธนาคารมองเห็นถึงโอกาสดังกล่าว จึงตั้งเป้าสินเชื่อบ้านปีนี้เติบโต 12%

ด้านลูกค้ารายย่อย ธนาคารจะมุ่งเน้นการขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย การออกผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ๆ เช่น เงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้า Wealth และ เงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) รวมถึงการเพิ่มฐานลูกค้าผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และ Ecosystem ของพันธมิตร

พร้อมกันนั้น ธนาคารจะให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking) โดยมีแผนสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าผ่านการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม และ สินเชื่อเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว โดยร่วมมือกับพันธมิตร และบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อม

ด้านสัดส่วนหนี้เสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL Ratio) ของธนาคารในปี 68 จะควบคุมให้ไม่เกิน 3% จากปีก่อน 2.34% โดยยอมรับว่า NPL ในปีนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงโควิด-19 ธนาคารมีการตั้งสำรองสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีก่อนธนาคารตั้งสำรองไปกว่า 1.2 พันล้านบาท และมี coverage ratio สูงถึง 214% ซึ่งในปีนี้ธนาคารคาดว่าการตั้งสำรองฯจะลดลงจากปีก่อนที่ตั้งไปสูงแล้ว

ส่วนอัตรากำไรสุทธิจากดอกเบี้ย (NIM) ในปี 68 อยู่ที่ 2.2-2.3% ใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าปีนี้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจะมีทิศทางปรับตัวลงมาบ้าง แต่ธนาคารได้หันมาเน้นกลุ่มที่ให้ยีลด์สูง และในปีนี้ไม่ได้มีการแข่งขันในการระดมเงินฝาก ทำให้การแข่งขันดอกเบี้ยไม่เป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อ NIM ของธนาคาร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.พ. 68)

Tags: , ,