KAMART กางแผนปี 67 ดันรายได้ทะลุ 3.6 พันลบ. เตรียมเปิดตัวสินค้า Premium ลุยตลาดญี่ปุ่น

นายวงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการบริษัท กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ.คาร์มาร์ท (KAMART) กล่าวว่า ในปี 67 บริษัทมีเป้าหมายจะผลักดันรายได้สู่ 3,600 ล้านบาท โดยจะให้ความสำคัญกับการกลับมาทบทวนดูแบรนด์ต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนทางด้านยอดขาย โดยเฉพาะเรื่องของการใช้นวัตกรรมและการพัฒนาสินค้าใหม่ให้ตอบโจทย์ลูกค้าดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับบรรจุภัณฑ์ การรีแบรนด์ดิ้งให้มีความทันสมัยและสดใสมากขึ้น รวมถึงคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่ถูกคิดมาได้อย่างน่าสนใจ และตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ขณะที่ความคืบหน้าหลังจากได้พันธมิตรอย่าง บริษัท มารุเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Marubeni Corporation) จากประเทศญี่ปุ่นว่า ขณะนี้ได้มีการนำสินค้าแบรนด์ไทยเข้าไปทดลองทำตลาดต่างประเทศแล้ว ได้แก่ แบรนด์เคที่ดอลล์ (Cathy Doll) แบรนด์เบบี้ไบรท์ (Baby Bright) และแบรนด์รื่นรมย์ (Reunrom) รวมถึงยังอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าร่วมกันที่จะผสานความเป็นไทยและญี่ปุ่น เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะเป็นกลุ่มเวชสำอางระดับพรีเมียม พร้อมทำตลาดในช่วงไตรมาส 2/67 นี้

ด้าน นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ KAMART กล่าวว่า กลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้ขยายธุรกิจของบริษัทฯ ไปสู่พันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ คือการออกงานจัดแสดงสินค้าต่างๆ โดย งาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 มิถุนายน 2567 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ก็นับเป็นงานสำคัญที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้เห็นถึงนวัตกรรมด้านความงาม ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตอบโจทย์ครบจบในงานเดียว โดยบริษัทฯ เองก็เตรียมนำสินค้านวัตกรรมใหม่ไปนำเสนอผ่านการจัดงานดังกล่าวอีกด้วย

และในปี 2567 นี้ นอกเหนือจากการพลิกโฉมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น KARMART ยังมีเป้าหมายสำคัญในการผลักดันแบรนด์สินค้า ให้ก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตลาดในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ ผลิตภัณฑ์กันแดด จะมีแบรนด์ “Cathy Doll” เป็นเรือธงในการลงสนามเพื่อทำตลาด ขณะที่กลุ่มดูแลริมฝีปากหรือลิปบาล์มจะมีแบรนด์ “Lip It by Nisamanee” เป็นแฟลกชิปของการทำตลาด เสริมทัพด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากแบรนด์ “Hair it by Saypan” เข้ามาแข่งขันในตลาด รวมถึงเวชสำอางดูแลจุดซ่อนเร้น แบรนด์ “INTIMI” และกลุ่ม Lip Tint โดยแบรนด์ CATCHY NESTY เป็นต้น

ส่วนโอกาสของตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยนั้น ยังมีโอกาสอีกมาก จากมูลค่าตลาดเครื่องสำอางกว่า 2 แสนล้านบาท จะเห็นว่ามาร์เก็ตแชร์ของบริษัทยังน้อยมาก ถ้าเทียบกับอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ ส่วนตัวเห็นว่าตลาดจะมีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจได้อีกนับสิบปี

นายพงศ์วิวัฒน์ กล่าวว่า เพื่อสร้างรากฐานให้กับแบรนด์และการเติบโตของบริษัท ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทฯ ความงามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย และขึ้นสู่การเป็นที่หนึ่งในอาเซียน ภายใน 10 ปีนี้ให้ได้นั้น สิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีความเข้าใจตลาดในแต่ละประเทศให้ดี เพราะลูกค้าในแต่ละพื้นที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน และเราจะไม่ไปแข่งขันกับสิ่งที่เรายังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแน่ชัด เราจึงเริ่มจากการจัดจำหน่ายหมวดสินค้าที่มีความแข็งแกร่งหรือเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ผ่านพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน และพร้อมที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้แบรนด์ของเราไปเติบโตและขยายเข้าไปในพื้นที่ที่เราต้องการได้

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ อาจจะยังชะลอตัวอยู่บ้าง เนื่องจากปัจจัยลบหลายด้านทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของหนี้ครัวเรือนและหนี้ส่วนบุคคลเองก็ยังมีแนวโน้มที่ไม่ดีขึ้น มองว่าความต้องการจับจ่ายใช้สอยยังคงมี แต่เงินให้การจับจ่ายอาจจะจำกัดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดความงามต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการลดขนาดบรรจุภัณฑ์สินค้า เพื่อทำให้ราคาลดลงจนผู้บริโภคมีกำลังในการจับจ่ายได้ ซึ่งเรื่องของกำลังซื้อก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ในฐานะผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สอดรับกับกำลังทรัพย์ผู้บริโภคที่มี ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลทางด้านยอดขาย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.พ. 67)

Tags: , ,