นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ITC) เปิดเผยผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 1/67 บริษัทฯ มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 821 ล้านบาท เติบโต 93% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่กลับมาสู่ระดับปกติ การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียม การปรับราคาขาย และปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก ส่งผลให้ไอ-เทลมียอดขายเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 66
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพร่วมกับกลยุทธ์การปรับราคาสินค้า ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาที่ 26% และ 20% ตามลำดับ
“หลังจากก้าวผ่านความท้าทายในปี 66 ในที่สุดการดำเนินธุรกิจของไอ-เทล สามารถกลับมามีกำไรและยอดขายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความพร้อมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ในปี 67 โดยบริษัทฯ ยังคงยึดมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง (Pet Centric) และต่อยอดธุรกิจด้วยการคว้าโอกาสสำคัญต่างๆ จากภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดว่าจะเติบโตในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป
อีกทั้ง ไอ-เทล ได้เดินหน้ากลยุทธ์เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจร่วมกับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันควบคู่ไปกับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 ได้เริ่มต้นข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อการผลิตสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงให้แก่แบรนด์ค้าปลีกชั้นนำในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเริ่มมีคำสั่งซื้อและส่งมอบสินค้าล็อตแรกในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้” นายพิชิตชัย กล่าว
สำหรับไตรมาสแรกของปี 67 ไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายแบ่งตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 45% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 36% และยุโรปอยู่ที่ 19% อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าอาหารหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 75% อาหารสุนัข 13% ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 10% และธุรกิจอื่นๆ อีกราว 2%
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการตอบรับเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว หรือ “Pet Humanization” ที่มาพร้อมกับการบริโภคสินค้าพรีเมียมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของไอ-เทลในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการที่ผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย รวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐานและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่ม Pet Parents ทั่วโลกที่ต้องการดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับสัตว์เลี้ยงของพวกเขา โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 500 รายการ ในไตรมาสที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการลงทุนราว 1.3 พันล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบการจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage & Retrieval System – ASRS) ที่โรงงานในจังหวัดสงขลา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 68 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในระยะยาว
ท้ายที่สุดนี้ ไอ-เทล ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange 2030 โดยได้เริ่มการติดตั้งระบบการปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วยการกรองแบบ Ultrafiltration and Reverse Osmosis (UFRO) ที่โรงงานในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบในจำนวน 5 โรงของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการนำร่องด้านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ (best-in-class manufacturing) โดยคาดว่าการติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในปี 68 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ (zero water discharge) ให้สำเร็จภายในปี 73
“ผมเชื่อมั่นว่าไอ-เทลจะสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในปี 67 เพื่อตอกย้ำศักยภาพของเราในการเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของโลกที่พร้อมส่งมอบคุณค่าเชิงบวกสู่สังคมและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันในระยะยาว” นายพิชิตชัย กล่าวทิ้งท้าย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ค. 67)
Tags: ITC, พิชิตชัย วงศ์ปิยะ, หุ้นไทย, ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น