IPOInsight: JP ไขมูลค่าหุ้นนวัตกรรมยาพร้อมสยายปีกโกอินเตอร์

มาทำความรู้จักกับหุ้นน้องใหม่ผู้นำด้านนวัตกรรมการผลิตยาและอาหารเสริมของเมืองไทย บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (JP) ปัจจุบัน JP มีทุนจดทะเบียนรวม 227.5 ล้านบาท แบ่งเป็น 455 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เบื้องต้นเคาะราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 7.00 บาท/หุ้น จำนวนไม่เกิน 115 ล้านหุ้น คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 25.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ล่าสุดเตรียมความพร้อมในการเข้าระดมและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วงต้นเดือน พ.ย.64

พกประสบการณ์กว่า 7 ทศวรรษพลิกสู่ผู้นำนวัตกรรมยาเมืองไทย

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า หากย้อนตั้งแต่แรกเริ่มการดำเนินธุรกิจเกิดขึ้นมาร่วมกว่า 70 ปีที่แล้ว เป็นการริเริ่มกิจการจากร้านขายยาของครอบครัว ก่อนจะขยายมาสู่การเปิดโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันเมื่อปี 2518

และแม้ว่าอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันสมัยนั้นมีการเติบโตที่ดี แต่มีข้อจำกัดคือต้องนำเข้าสารสกัดจากต่างประเทศเพื่อเข้ามาผลิตยาแผนปัจจุบัน ดังนั้น การต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายตลาดส่งออกไปในต่างประเทศ บริษัทมองว่าต้องนำจุดแข็งของประเทศไทยที่เป็นครัวของโลก อุดมไปด้วยพืชและสมุนไพรนานาชนิดมาสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ดังนั้น เป็นที่มาของเริ่มเปิดโรงงานผลิตอาหารเสริมขึ้นมา ประกอบด้วยการเริ่มรับจ้างผลิตให้กับลูกค้า ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และบริษัทมีจุดแข็งด้านทีมวิจัยที่มีประสบการณ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคแต่ละช่วงเวลา

หลังจากนั้นภาครัฐได้ออกนโยบายสนับสนุนการใช้ยาแผนโบราณหรือการใช้สมุนไพรไทย บริษัทจึงตัดสินใจเปิดโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่งในพื้นที่จังหวัดลำพูนเพื่อใช้รองรับความต้องการตลาดของยาแผนโบราณ ส่วนโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบัน บริษัทได้ใช้เทคโนโลยีที่สูงที่สุดเข้ามาผสมผสานกับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายด้วย

“ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทยเวชภัณฑ์ที่ขาดแคลนคือผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ล้างมือ ทางบริษัทจึงเพิ่มหมวดการผลิตเครื่องสำอางขึ้นมา เพื่อตอบสนองการผลิตสินค้าดังกล่าว ขณะเดียวกันบริษัทยังมีสินค้าหมวดที่ 5 คือหมวด Trading ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องมือแพทย์และชุดตรวจสารเสพติด แม้ยังเป็นพอร์ตที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เห็นสัญญาณการเติบโตในอนาคต”นายสิทธิชัย กล่าว

เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์เฮ้าส์แบรนด์หนุนศักยภาพกำไร

แม้ว่าช่วงปี 61-62 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการรับจ้างผลิตประมาณ 70% ซึ่งนับเป็นช่องทางรายได้หลัก และอีก 30% เป็นสัดส่วนรายได้จากแบรนด์สินค้าของตัวเอง แต่ในช่วงปี 63-64 บริษัทต้องการเพิ่มพอร์ตรายได้จากแบรนด์สินค้าของตัวเองให้อยู่ที่ราว 50% ภายใต้แบรนด์สุภาพโอสถ, COXTM, JSPTM และ EVITONTM ส่วนหนึ่งเป็นการสนับสนุบศักยภาพทำกำไรที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความมุ่งมั่นการรักษาความผู้นำธุรกิจรับจ้างผลิตเช่นกัน เพราะนอกเหนือจากมีข้อได้เปรียบด้านทีมนวัตกรรมของบริษัทเองแล้ว ก็ยังมีการวางแนวทางร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัย ทำให้บริษัทได้รับนวัตกรรมที่หลากหลาย ส่งผลให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้หลายรายการ

ปัจจุบันบริษัทมีทะเบียนยา อาหารเสริมสมุนไพร รวมถึงเครื่องสำอางมากกว่า 2,000 รายการ และมีลูกค้าจากการรับจ้างผลิตมากกว่า 100 รายภายใต้แบรนด์สินค้ารับจ้างผลิตมากกว่า 500 แบรนด์

นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า จากการประเมินการเติบโตของอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร และอาหารเสริม ยังคงเห็นแนวโน้มการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากคิดการเติบโตตามภาพรวมตลาดก็จะอยู่ในระดับประมาณ 2 หลักทุกปีอยู่แล้ว แต่เป้าหมายของบริษัทต้องการเติบโตให้ดีกว่าตลาด ซึ่งทางบริษัทก็มีข้อได้เปรียบด้านนวัตกรรม จึงวางแผนจะเร่งการออกผลิตใหม่ให้เร็วยิ่งขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นในอุตสาหกรรม

“ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรสูงของบริษัท อย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำมัน 4 ชนิด ประกอบไปด้วย น้ำมันรำข้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาม้อน และน้ำมันมะพร้าว จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และโฮมช็อปปิ้งเป็นหลักและอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์คืออาหารเสริมน้ำมันรำข้าวและน้ำมันงาดำ ซึ่งเป็นสินค้าที่ต่างประเทศให้ความสนใจสูง ซึ่งสารสกัดทั้งหมดมาจากในประเทศไทย สร้างความโดดเด่นให้แบรนด์ของเราเติบโตมากขึ้น”นายสิทธิชัย กล่าว

เปิดอัพไซด์อุตสาหกรรมยา-อาหารเสริมทั้งตลาดในประเทศ-ตปท.

สำหรับการเติบโตในอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบัน ยังคงมองเห็นการเติบโตจากภาครัฐ ซึ่งให้งบประมาณด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น และสนับสนุนยาที่ผลิตได้ในประเทศเป็นหลัก แทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเชื่อว่ายังมีโอกาสที่ภาครัฐจะซื้อและใช้ยาจากผู้ผลิตในประเทศมากขึ้นอีกในอนาคต

ส่วนอุตสาหกรรมยาสมุนไพรก็สามารถเติบโตขึ้นจากการสนับสนุนของภาครัฐเช่นกัน ยกตัวอย่างในช่วงวิกฤติโควิด-19 ผู้บริโภคหันมาสนใจสมุนไพรไทยมากขึ้น เห็นได้จากผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกที่จะรักษาด้วยยาสมุนไพรก่อนยาแผนปัจจุบันด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นปีนี้ยาสมุนไพรถือว่าเติบโตและคาดว่าผู้บริโภคก็จะยิ่งตระหนักถึงคุณค่าสมุนไพรไทยต่อเนื่อง

ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารเสริมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราการเติบโตมาโดยตลอดเป็นระดับ 2 หลักทุกๆปี นับเป็นการเติบโตเฉพาะในประเทศ ยังไม่นับรวมตลาดของเพื่อนบ้าน บริษัทมั่นใจว่าหากมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มาจากวัตถุดิบในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงเป็นครัวของโลกจะยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อีกมาก

“การเติบโตของอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรไทย ยังคงได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และผู้บริโภคเองก็เริ่มหันมารักษาสุขภาพกันมากขึ้นจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สำหรับธุรกิจอาหารเสริม ด้วยตัวผมเป็นประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสภาอุตสาหกรรมประเทศไทย เห็นการเติบโตแบบเลขสองหลักมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีทั้งลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคในประเทศ หรือกลุ่ม Medical Tourist ที่มาซื้ออาหารเสริมจากบ้านเราไปกินไปใช้

ส่วนตลาดต่างประเทศถ้าเรามุ่งเน้นสารสกัดที่มาจากวัตถุดิบในประเทศ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว หรือพืชไข่น้ำวูฟเฟีย ก็ถือเป็นจุดแข็งที่จะทำให้ต่างประเทศสนใจในผลิตภัณฑ์ของเราได้”นายสิทธิชัย กล่าว

ระดมทุนเข้าตลาดหุ้นมุ่งสู่แผนรุกขยายตลาดต่างประเทศ

นายสิทธิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น สปป.ลาว, เวียดนาม, เมียนมา, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา และสิงคโปร์

ทั้งนี้ ตลาดที่บริษัทให้ความสนใจมากที่สุดเป็นตลาดในกลุ่ม CLMV เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการบริโภคสินค้าจากไทยค่อนข้างสูง และยังมีข้อได้เปรียบสำคัญ คือ ข้อตกลง Asian Harmonization คือผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยหรือประเทศใด ๆ ในอาเซียนแล้ว การขึ้นทะเบียนในประเทศอาเซียนอื่นจะง่าย ทางบริษัทจึงสนใจในประเทศกลุ่ม CLMV ก่อน

เป็นที่มาของแผนสร้างการเติบโตในอนาคตด้วยการระดมทุนเข้าตลาดหุ้นในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปขยายโรงงานที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและจังหวัดลำพูน ซึ่งปัจจุบันเต็มกำลังการผลิตแล้ว (Full Capacity) การขยายโรงงานดังกล่าวจะทำให้สามารถรับออเดอร์จากการผลิตของลูกค้ารายใหญ่ และผลิตสินค้าแบรนด์ตัวเองได้มากขึ้นด้วย

“การที่จะมุ่งสร้างแบรนด์ของตัวเอง จะต้องมีเงินลงทุนในด้านการตลาด หากถ้าเป็นธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า ก็จะเป็นการบอกกันปากต่อปากจากลูกค้า แต่ถ้าต้องการให้สินค้าแบรนด์ของบริษัทเป็นที่รู้จัก จะต้องมีงบด้านการตลาดเพื่อสร้างการโปรโมทได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังวางแผนจะนำเงินที่ได้มาใช้จ่ายในส่วนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อจะได้ขึ้นทะเบียนยาแผนปัจจุบันตัวใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่ อย่าง กัญชา กัญชง หรือไข่น้ำ ก็ต้องใช้เงินลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเช่นกันนอกจากนี้ยังนำมาลดต้นทุนทางการเงิน”นายสิทธิชัย กล่าว

ต่อยอดพืชเศรษฐกิจใหม่ กัญชง-กัญชา-กระท่อม,Plant Based Protien

นายสิทธิชัย กล่าวต่อว่า ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย ทำให้มีพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจหลากหลายชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาโรค สามารถนำมาเป็นผลิตภัณฑ์ลักษณะเม็ดแคปซูล และในปัจจุบันพืชเศรษฐกิจที่บริษัทสนใจคือพืชกัญชง ,กัญชา ,และกระท่อม ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจและเห็นโอกาสการเติบโตในตลาดเป็นอย่างมาก

ส่วนอีกหนึ่งกระแสที่ทั่วโลกให้ความสนใจในตอนนี้ คือ เทรนด์ “Plant Based Protien” ซึ่งเติบโตขึ้น 10-20% ทุกปีทั่วโลก และประเทศไทยเป็นต้นกำเนิดพืชไข่น้ำสายพันธุ์วูฟเฟียที่หลายประเทศให้การยอมรับทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป หรืออิสราเอล ก็นำวูฟเฟียไปจำหน่ายทั่วโลก ทางบริษัทจึงพยายามผลักดันพืชชนิดดังกล่าวให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดได้ทั้งสินค้าอาหาร อาหารเสริม และเครื่องดื่มอีกด้วย

ปัจจุบันบริษัทมีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้งช่องทาง Traditional ที่เป็นช่องทางหลักมากว่า 40-50 ปี เช่น โรงพยาบาล ร้านขายยา และมีช่องทางใหม่อย่างร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือร้านสะดวกซื้อในปัจจุบันมีจำหน่ายทั้ง ยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริม และยาสมุนไพร

นอกจากนั้น ยังมีการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ และช่องทางที่ทำร่วมกับพันธมิตร เช่น ทีวีโฮมช้อปปิ้ง เป็นช่องทางใหม่ที่เกิดขึ้นตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หลังช่วงโควิด-19 มีมาตรการ Work From Home ทำให้การผู้บริโภคหันมาสั่งซื้อสินค้าผ่านสื่อทีวีเพิ่มสูงขึ้น และช่องทางดังกล่าวยังสามารถให้ความรู้และข้อมูลกับผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน จึงเป็นช่องทางที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยง่าย

“ช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นสิ่งที่ตอบทุกคนว่าธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงมากคือธุรกิจ Health Care ไม่ได้เติบโตแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเรามีนวัตกรรมที่เพียงพอ สามารถขยายไปสู่ตลาดโลก จะทำให้ประเทศไทยไม่ใช่แค่เป็นครัวของโลกเท่านั้น แต่ยังจะเป็นประเทศที่มียาและอาหารเสริมที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำคืออยากให้ไทยมีจุดยืนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไปสู่การสนับสนุนภาคการเกษตรของไทยให้เติบโตไปด้วยกันทั้งต้น กลางน้ำ ปลายน้ำ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราอยากทำ” นายสิทธิชัย กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,