InnovestX เชื่อยกระดับคุมเข้ม Program Trade-Short sell ช่วยดึงรายย่อยกลับมาเสริมปัจจัยหนุนตลาดฟื้น

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) กล่าวว่าการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีมาตรการในการควบคุม Program Trading และ Short sell เชื่อว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นไทยมีเพียง 30% จากในอดีตมีสัดส่วนมากกว่า 50% ดังนั้นมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ปริมาณการซื้อขายกลับมาที่ระดับใกล้เคียงเดิม

ขณะที่นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน INVX กล่าวว่ามาตรการคุมเข้มการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรด คาดว่าจะช่วยชะลอแรงขายและลดแรงกดดันต่อ Valuation เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนให้ SET Index ปรับขึ้นในไตรมาส 2/67 ราว 38 จุด แม้ว่าการแก้ปัญหาที่ ตลท.ทำอยู่ในปัจจุบันอาจยังไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับมาตรการของในเกาหลีและจีน ดังนั้น การเคลื่อนไหวของ SET Index อาจยังมีความผันผวนอยู่

ขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ที่จะหนุนตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/67 ประกอบด้วย เศรษฐกิจโลกที่ดีกว่าคาดส่งผลเชิงบวกต่อกำไร ซึ่งจะหนุน SET ปรับตัวขึ้นได้ 27 จุด การลดอัตราดอกเบี้ย หนุนให้กำไรบริษัทจดทะเบียนปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 1.3% ในกรณีที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จะหนุนให้ SET ขึ้นไปได้ 19 จุด การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากข้อมูลในอดีต ผลตอบแทนเฉลี่ย 3 เดือนหลังการปรับครม. ครั้งใหญ่จะทำให้ SET เพิ่มขึ้น 0.4% หรือขึ้นมาได้ 8 จุด ขณะที่เงินบาทแข็งค่าด้วยแรงหนุนจากดอลลาร์อ่อนค่าเป็นบวกต่อ SET Index และจะหนุนให้ SET ขึ้นไปได้ 11 จุด ในกรณีที่บาทแข็งค่า 1%

นอกจากนี้การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุน SET Index ปรับตัวขึ้นได้ 15 จุด โดยจะกระตุ้นการเติบโตของ GDP และกำไรในระยะสั้น โดยการเบิกจ่ายงบประมาณจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ซึ่งจากสถิติในอดีตหลังจากที่มีการผ่านงบประมาณวาระที่ 3 ตลาดหุ้นจะตอบสนองได้ดี 1 วันหลังจากผ่าน แต่ 1 เดือนหลังจากผ่านร่างตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยค่าเฉลี่ยประมาณ 2.4% ทั้งนี้หากปัจจัยดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกันอาจทำให้ SET Index กลับขึ้นไปที่ 1,500 จุดในสิ้นไตรมาส 2/67

“การเติบโตของตลาดหุ้นไทยในช่วงระยะเวลาถัดไป จะเป็นการเติบโตผ่านตัวกำไรเป็นสำคัญ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีอุตสาหกรรมใหม่แบบต่างประเทศ ทำให้ Valuation ไม่ได้เพิ่มขึ้น จากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยจะเป็น Dividend Play มากกว่า Growth Play แล้ว ไม่มีอัตราการเติบโต มีเพียงแค่ Dividend ให้ การเติบโตจะมาจาก Organic Growth จริงๆ “

โดยหุ้นที่มีพื้นฐานดีกว่าการลดลงของดัชนีและ Valuation ปัจจุบัน อาทิ Food , Commerce , Health care และ Finance เนื่องจากมีอัตราการเติบโตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างดี อย่างไรก็ตามกลุ่ม Energy , Bank , Petro และ Property เป็นกลุ่มกับดักมูลค่า หรือมีราคาถูกและจะยังถูกต่อไป ดังนั้นต้องมุ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มี.ค. 67)

Tags: , , ,