STEC ลบ 8.43% มาที่ 8.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 75.96 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.49 น. โดยเปิดตลาดที่ 8.90 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 8.90 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 8.10 บาท
บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) จะมีแถลงข่าวการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัท ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการจัดตั้ง บมจ. สเตคอน กรุ๊ป เป็นบริษัทโฮลดิ้งในช่วงบ่ายของวันที่ 13 ธ.ค.66
ทั้งนี้ STEC แจ้งว่าคณะกรรมการบริษัทเห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ โดยจะจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง คือ บมจ.สเตคอน กรุ๊ป ซึ่งจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นของ STEC และนำหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทน STEC ที่จะขอเพิกถอนออกจกาการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เป็นการปรับโครงสร้างเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ และเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวของการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัท เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเหมาะสมของแต่ละธุรกิจ
บริษัทโฮลดิ้งจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ได้แก่หุ้นสามัญของบริษัท โดยกำหนดวิธีการชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้งในอัตราการแลกหุ้น ที่หุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้ง 1 หุ้นต่อหุ้นสามัญของ STEC จำนวน 1 หุ้น
ภายหลังที่หุ้นของบริษัทโฮลดิ้งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงของบริษัทฯ หรือ บริษัทย่อยของบริษัทโฮลดิ้งที่จัดตั้งขึ้นใหม่ จะซื้อหุ้นในบริษัทย่อยบริษัทร่วม และเงินลงทุนในบริษัทอื่นที่บริษัทถืออยู่ ซึ่งอาจรวมถึงหุ้นของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท โดยมีรายชื่อบริษัทดังต่อไปนี้
รายชื่อบริษัทย่อย บริษัทร่วมและเงินลงทุนในบริษัทอื่น จำนวนหุ้นที่บริษัทถือ (หุ้น) สัดส่วนการถือหุ้น(ร้อยละ)
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ยังแนะนำ “ซื้อ” STEC ราคาเป้าหมาย 12.85 บาท โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อแผนการปรับโครงสร้าง ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมปลดล็อกมูลค่าเงินสด แต่น่าจะช่วยปลดล็อกมูลค่าการลงทุนได้ หากนำ PBV ของ BEM และ BTS ปี 67 มาใช้กับโครงการขนส่งของ STEC เกิดขึ้น มูลค่าหุ้นส่วนเพิ่มน่าจะอยู่ในช่วง 6-7.72 บาท
คงคำแนะนำ “ซื้อ” จาก 1.การปลกล็อคมูลค่าการลงทุนที่อาจเกิดขึ้น 2. ภาระทางการเงินที่ลดลง และ 3. โครงการลงทุนใหม่ที่มีการเติบโตสูงและทำกำไรได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 66)