เจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในไตรมาส 4/2564 ลดลง อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น GM ปรับตัวขึ้นหลังบริษัทให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยจะออกวางจำหน่ายในราคาที่ถูกลง
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ของ GM ในไตรมาส 4 ลดลงมาอยู่ที่ 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 3.75 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบรายปี
อย่างไรก็ดี GM มีกำไรอยู่ที่ 1.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.16 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับ 2.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.93 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาส 4 ของปี 2563 โดยเมื่อปรับทวนแล้ว GM มีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.35 ดอลลาร์
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของมาร์เก็ตวอชคาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้นของ GM จะอยู่ที่ 1.16 ดอลลาร์ และมียอดขายอยู่ที่ 3.58 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ บริษัทยังคาดการณ์ถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลกำไรน่าจะแตะหรืออยู่ในระดับเกือบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้หลังผ่านพ้นอุปสรรคด้านอุปทาน
ด้านนางแมรี บาร์รา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GM กล่าวกับนักลงทุนว่า “เราสามารถก้าวไปได้เร็วและจะยังอยู่ในระดับนี้ โดยมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเป็นแรงหนุน และปี 2565 จะเป็นปีที่น่าจับตามอง”
อย่างไรก็ดี นางบาร์รากล่าวว่า ปัจจุบัน GM ยังไม่สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนได้ แต่ GM จะพยายามหาทางจ่ายคืนเงินทุนส่วนเกินให้ผู้ถือหุ้น เป้าหมายสำคัญที่ชัดเจนของเราก็คือ การเร่งดำเนินการตามแผนผลิตรถ EV และสร้างการเติบโต”
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา GM ประกาศทุ่มงบลงทุนราว 6.6 พันล้านดอลลาร์ในรัฐมิชิแกนถึงปี 2567 เพื่อเพิ่มการผลิตรถกระบะไฟฟ้าและสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้าแห่งใหม่ โดยงบประมาณก้อนใหม่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตในอเมริกาเหนือของ GM เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันภายในปี 2568
ทั้งนี้ GM ตั้งเป้าว่าจะสามารถโค่นเทสลาในฐานะผู้นำการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐได้ในช่วงกลางทศวรรษนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.พ. 65)
Tags: GM, รถ EV, เจเนอรัล มอเตอร์