นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า การพัฒนาตลาดทุนไทยนับจากนี้จะต้องเริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่นกลับมา (Restore trust) หลังจากที่ตลาดทุนไทยเผชิญกับปัญหาที่ส่งผลความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มมาตั้งแต่กรณีของ บมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) ตามมาด้วย บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) ที่กระทบและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนไทย ทำให้ FETCO มองว่าการผลักดันตลาดทุนไทยจะต้องเริ่มจากการพลิกฟื้นความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยให้กลับมา
ประธาน FETCO ยอมรับว่า ตลาดทุนไทยแม้ว่าจะมีมุมสว่าง (Bright spot) มาก แต่ก็ยังมีมุมมืด (Dark spot) ที่เป็นจุดทำลายความเชื่อมั่นเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีนักวิเคราะห์ทำข้อมูลให้กับนักลงทุน อาจเป็นจุดเล็กๆ ที่สร้างปัญหาขึ้นมาให้กับตลาดทุนไทย ซึ่งทาง FETCO ได้สนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ทำการวิเคราะห์ข้อมูล
รวมทั้งอยากเสนอแนะให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้การส่งเสริมการจัดทำข้อมูลและการวิเคราะห์หุ้นขนาดเล็ก เพื่อทำให้นักลงทุนได้เข้าถึงข้อมูลของหุ้นขนาดเล็กได้มากขึ้น เพื่อเป็นการลดปัญหาในการวิเคราะห์พิจารณาตัดสินใจลงทุน และลดปัญหาที่จะทำลายความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยด้วยเช่นกัน
“หัวใจที่สำคัญของตลาดทุน คือ Trust ที่เราต้องทำให้เกิดขึ้นอยู่ตลอด ต้องปิดจุดมืดในตลาดทุนที่กระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งหลายๆคนในตลาดทุนก๊มีความกังวลใจกับหุ้นเล็ก ที่ไม่มีการวิเคราะห์ FETCO ก็มีโครงการให้วิเคราะห์หุ้นตัวเล็ก แต่พอไปถามก็มีคำตอบว่าไม่คุ้ม เพราะหุ้นเล็กไม่มีคนซื้อ แต่ยังคงเดินหน้าผลักดันต่อ ก็ได้ทำความร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์และบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆในการผลักดันโพรงการนี้ขึ้นมาเพื่อปิดจุดมืดในตลาดทุนไทย” นายกอบศักดิ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ตลาดทุนไทยยังต้องมีการสร้างเสน่ห์เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาเพิ่มขึ้น ต้องมีการปรับตัวให้ Modernize เพราะว่าโลกของการลงทุนมีสินทรัพย์ไหม่ๆ เกิดขึ้นที่เป็นทางเลือกในการลงทุนอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น ในช่วงที่ผ่านมามีคริปโทเคอรเรนซี่เกิดขึ้น และมีผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนในคริปโทฯ เป็นจำนวนมาก มีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สินทรัพย์เดิมที่มีอยู่มีความน่าสนใจลดลง ก.ล.ต.และ ตลท.จะต้องมีแนวทางสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้าง Trust ที่ปัจจุบันลดน้อยลงก็ลดเสน่ห์ของตลาดทุนไทยลงไปด้วย
นอกจากนั้น ก.ล.ต.ควรลดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย ซึ่งบางกฎเกณฑ์ที่มีมาตั้งแต่ในอดีตอาจไม่มีสาระแล้ว ต้องปรับลดและปรับเปลี่ยนให้น้อยลง เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่เข้ามาระดมทุน ทำให้ผู้เล่นต่างๆ ทำงานในตลาดทุนได้อย่างสะดวก ไม่มีอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดทุน ประกอบกับ ก.ล.ต. ตลท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย ควรร่วมกันใช้ช่องทางการบริการเพียงช่องทางเดียว (Single portal) เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการ การรายงานข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกผ่านช่องทางเดียว เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนต่างๆ เป็นต้น
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการผลักดันตลาดทุนไทยให้มีเสน่ห์และน่าสนใจมากขึ้น อาจจะต้องมองไปถึงการนำคนจากภายนอกประเทศเข้ามาระดมทุนและลงทุนในตลาดทุนไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนแพลตฟอร์มของสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตและแข็งแกร่งในต่างประเทศ สามารถสร้างระบบการ Duo listing ในตลาดหุ้นไทย เพื่อให้ทำให้ผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนไทยมีความหลากหลายและทันสมัย เพราะหากพึ่งพาแค่บริษัทภายในประเทศจะทำได้ช้า ที่ผ่านมาจะเห็นว่าบริษัทในประเทศปรับเปลี่ยนค่อนข้างช้า ทำให้ขาดการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดทุนไทยยังไม่มี เมื่อเทียบกับจำนวนนักวิจัยไทยที่เก่งและเชี่ยวชาญที่มีเป็นจำนวนมาก
ส่วนด้าน ESG ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กับตลาดทุนไทยได้อยทางดี และเป็นเทรนด์ที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนตลาดทุนทั่วโลก แต่ FETCO มองว่า ด้าน Social (S) ยังเป็นสิ่งที่ตลาดทุนไทยไม่ได้เน้นมากและให้ความสำคัญน้อย แตกต่างจากยุทธศาสตร์ของ ก.ล.ต.ที่ต้องการลดความเลื่อมล้ำในตลาดทุน ซึ่งมองว่าการมี Socail credit จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กับตลาดทุนไทย นอกเหนือจากการมี Carbon credit
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ธ.ค. 66)
Tags: FETCO, กอบศักดิ์ ภูตระกูล, ตลาดทุน, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย