EASTW พร้อมคืนท่อส่งน้ำ แต่ขอแผนส่งมอบชัดเจน ห่วงกระทบผู้ใช้น้ำพื้นที่ทับซ้อน

บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) ยันพร้อมส่งคืนพื้นที่และทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำ EEC ให้กรมธนารักษ์ ภายใน 11 เม.ย.66 แต่ขอให้เจรจาเพื่อหาข้อยุติร่วมกันในแผนส่งมอบ – รับมอบอย่างเป็นขั้นตอน ไม่เช่นนั้นอาจะเกิดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และผู้ใช้น้ำ รวมถึงภาพรวมของระบบเศรษฐกิจในภาคตะวันออก

นายเชิดชาย ปิติวัชรากุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ EASTW กล่าวว่า ตามที่กรมธนารักษ์ ได้ส่งหนังสือการบอกเลิกการเช่า/บริหารโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ระยะที่ 2 โดยหนังสือที่กรมธนารักษ์แจ้งมา ระบุให้อีสท์ วอเตอร์ ส่งคืนพื้นที่และทรัพย์สินในโครงการดังกล่าวให้แก่กรมธนารักษ์ ภายในวันที่ 11 เม.ย. 66 หากไม่ดำเนินการ กรมธนารักษ์จะสงวนสิทธิ์ให้อีสท์ วอเตอร์ ปฏิบัติตามระเบียบที่บังคับใช้ ณ ปัจจุบัน และอนาคต พร้อมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายจากการที่อีสท์ วอเตอร์ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ราชการกำหนดนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มี.ค. อีสท์ วอเตอร์ ได้ส่งหนังสือส่งให้แก่อธิบดีกรมธนารักษ์ เรื่องการโต้แย้งการบอกเลิกการเช่า/บริหารโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล – หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ – แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) การเรียกให้ส่งมอบพื้นที่และทรัพย์สินแก่กรมธนารักษ์ และการเรียกค่าเสียหาย พร้อมแจ้งข้อเสนอของอีสท์ วอเตอร์ เพื่อลดกระทบต่อผู้ใช้น้ำให้แก่กรมธนารักษ์ไปแล้ว

นายเชิดชาย ยืนยันว่า บริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการดำเนินงานส่งมอบท่อส่งน้ำสายหลัก ตามที่กรมธนารักษ์ร้องขอมา แต่หากก่อนถึงกำหนดวันส่งมอบ (11 เม.ย.) ไม่มีแผนงานการส่งมอบ- รับมอบโครงการที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างอีสท์ วอเตอร์ กับบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการรายใหม่ อาจจะทำให้ผลกระทบตกอยู่กับผู้ใช้น้ำได้ ดังนั้น ย้ำว่าต้องคำนึงถึงผู้ใช้น้ำเป็นหลัก

“ต้องมีแผนการส่งมอบที่ชัดเจน มีข้อยุติที่ชัดเจนเรื่องพื้นที่ทับซ้อน และการตรวสอบความพร้อมทั้งผู้รับและผู้ส่ง เพื่อให้ผู้ใช้น้ำมั่นใจว่าการเปลี่ยนมือจะไม่เกิดผลกระทบ และผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย ควรมาร่วมกันพิจารณาแผน เพราะเรื่องนี้ ถือเป็นภาพลักษณ์ของประเทศ หากเกิดความเสียหายขึ้นจะกระทบต่อผู้ใช้น้ำ ซึ่งเป็นทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว และผู้ที่ใช้น้ำอุปโภคบริโภค…ถ้าเราถูกขีดเส้นให้ส่งมอบ เราก็จำเป็นต้องส่งมอบตามนั้น แต่หลังจากนั้น อาจจะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความกังวลของเราถึงเรื่องความพร้อม เรื่องรอยต่อ ที่จะต้องไม่มีปัญหา เรายึดผู้ใช้น้ำเป็นหลัก ไม่ได้ยึดบริษัทเป็นหลัก” นายเชิดชาย ระบุ

ทั้งนี้ ประเมินว่าจะมีพื้นที่สุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบในการใช้น้ำ เช่น นิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่บ่อวิน ปลวกแดง ของ จ.ชลบุรี และพื้นที่บริเวณมาบตาพุด จ.ระยอง

นายเชิดชาย ย้ำว่า บริษัทฯ ไม่ได้ต้องการจะเลื่อนการส่งคืนพื้นที่และทรัพย์สินให้แก่กรมธนารักษ์ เพียงแต่ต้องการให้ก่อนที่จะถึงวันที่ 11 เม.ย.นี้ ได้มีการเจรจาหารือร่วมกันของทุกฝ่ายเพื่อให้การส่งมอบเป็นไปโดยราบรื่น ไม่สะดุด และที่สำคัญไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ

“ยืนยันว่าเราไม่ได้ขอเลื่อน แต่เราขอให้มีการพูดคุย และมีการแสดงความพร้อมของทั้งผู้รับ ผู้ส่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้น้ำว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ” นายเชิดชาย กล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้เตรียมแผนส่งมอบไว้เรียบร้อยแล้ว และยังหวังว่าน่าจะหาข้อสรุปร่วมกันได้ก่อนวันที่ 11 เม.ย. แต่หากไม่มีข้อยุติร่วมกันที่ชัดเจน ก็จะต้องแจ้งไปยังผู้ใช้น้ำว่าอาจจะได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ อีสท์ วอเตอร์ ได้ชี้แจงรายละเอียดถึงหนังสือที่ส่งให้แก่อธิบดีกรมธนารักษ์ เรื่องการโต้แย้งการบอกเลิกการเช่า/บริหารโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล – หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ – แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) การเรียกให้ส่งมอบพื้นที่และทรัพย์สินแก่กรมธนารักษ์ และการเรียกค่าเสียหาย พร้อมแจ้งข้อเสนอของอีสท์ วอเตอร์ เพื่อลดกระทบต่อผู้ใช้น้ำให้แก่กรมธนารักษ์ ในประเด็นสำคัญดังนี้

1. อีสท์ วอเตอร์ได้ให้ความร่วมมือในการเข้าตรวจสอบพื้นที่ในการส่งมอบทรัพย์สิน และอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐลงพื้นที่ตรวจทั้ง 3 ครั้งตามที่ร้องขอ และให้การสนับสนุนข้อมูลเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาได้เข้าร่วมประชุมกับกรมธนารักษ์ และ เอกชนที่ได้รับการคัดเลือกเกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์สิน เพื่อจัดทำแผนงานตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการท่อส่งน้ำสายหลักร่วมกันแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง แต่ยังไม่มีข้อสรุป ขั้นตอนการดำเนินการส่งมอบ-รับมอบ โครงการและประเด็นทรัพย์สินทับซ้อนเรื่องทรัพย์สินทับซ้อน อีสท์ วอเตอร์เห็นว่าทุกฝ่ายต้องหาแนวทางที่ลดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำร่วมกัน

2. ด้านการลงนามสัญญากับเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก กรมธนารักษ์ได้รีบเร่งลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 ทั้งที่ยังไม่ได้มีข้อยุติเรื่องการส่งมอบทรัพย์สิน ตามที่ประชุม คกก.ที่ราชพัสดุมีมติให้ดำเนินการตามข้อสังเกตุของอัยการสูงสุดที่ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนลงนามในสัญญา ดูเป็นการกระทำที่รีบเร่งสัญญา ดูเป็นการกระทำที่รีบเร่ง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีแนวทางป้องกันผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ

3. ด้านทรัพย์สินที่จะส่งมอบ หากต้องส่งมอบในวันที่ 11 เมษายน 2566 โดยไม่มีแผนการส่งมอบ – รับมอบโครงการทั้งสองอย่างเป็นขั้นตอน อาจส่งผลกระทบดังนี้

– ผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำบริเวณพื้นที่ ปลวกแดง ซึ่งมีการส่งจ่ายน้ำ 210,000 ลบ.ม. ต่อวัน และผู้ใช้น้ำตามแนวท่อหนองปลาไหล – มาบตาพุด – สัตหีบ อีก 300,000 ลบ.ม. ต่อวัน

– พื้นที่ทับซ้อน เนื่องจากมีทรัพย์สินของ อีสท์ วอเตอร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกให้เป็น Water Grid ตามมติครม. เช่น มิเตอร์ ปั๊มน้ำ เครื่องสูบน้ำ สถานีสูบ ระบบ SCADA ที่ใช้ควบคุมแรงดันน้ำจากระยะไกล ในส่วนพื้นที่บางส่วนซึ่งต้องส่งมอบคืนให้แก่กรมธนารักษ์ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปเป็นที่ชัดเจนในการใช้พื้นที่ร่วมกัน

ทั้งนี้ เห็นว่ากรมธนารักษ์ควรตรวจสอบว่าเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก สามารถเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างถูกกฎหมายได้ทันทีหลังการส่งมอบโครงการหรือไม่ มิฉะนั้น ผู้ใช้น้ำอาจได้รับน้ำที่มีการสูบจ่ายโดยไม่ถูกต้อง

4. การที่กรมธนารักษ์ส่งมอบทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล – หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ – แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) ให้อีสท์ วอเตอร์ เมื่อปี 2540 และปี 2541 เป็นการเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และตามรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวทางและการกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนในการจัดให้เอกชนเช่า/บริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ซึ่งกรมธนารักษ์ใช้ประกอบการคัดเลือกเอกชนครั้งแรก (กรกฎาคม 2564) และครั้งที่สอง (กันยายน 2564) มีเนื้อหาระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าเป็นโครงการที่มีอายุ 30 ปี และอยู่ระหว่างจัดทำสัญญาตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรมธนารักษ์ โดยสิ้นสุดในปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ ไม่ใช่เป็นไปตามนัยหนังสือกรมธนารักษ์ ที่ กค 00420/948 ลงวันที่ 4 เมษายน 2543 และที่ กค 0305/17698 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ซึ่งเป็นเรื่องการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล – หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ – แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) ที่คำนวณจากรายได้ที่เกิดจากการขายน้ำดิบ และเป็นเอกสารที่เกิดจากการตกลงร่วมกันระหว่างกรมธนารักษ์ และอีสท์ วอเตอร์

การที่กรมธนารักษ์ แจ้งกับอีสท์ วอเตอร์ ขอยกเลิกการเช่าและบริหารโครงการท่อส่งน้ำทั้งสอง โดยอ้างนัยตามหนังสือกรมธนารักษ์ทั้งสองฉบับข้างต้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้อง และกรมธนารักษ์เพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถแจ้งขอยกเลิกข้อตกลงการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนกับอีสท์ วอเตอร์ได้

5. ด้านการหาข้อยุติเรื่องการส่งมอบ-รับมอบพื้นที่ และทรัพย์สิน โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล – หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ – แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) อีสท์ วอเตอร์ได้เสนอแนวทาง และขั้นตอนการส่งมอบ – รับมอบทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำทั้งสอง และจะต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันทุกฝ่าย เพื่อประกอบการพิจารณาของกรมธนารักษ์ ดังต่อไปนี้

5.1 การวางแผนงานและขั้นตอนการส่งมอบทรัพย์สิน ระยะเวลา รวมทั้งการแก้ไขปัญหาอุปสรรคและข้อขัดข้องต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน การเปลี่ยนแปลงและขอใช้ระบบไฟฟ้า การกำหนดระยะเวลาในการปรับปรุงระบบ และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการท่อส่งน้ำของแต่ละฝ่ายเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ รวมทั้งการแสดงความพร้อมและกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นดำเนินการในเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการรายใหม่ เพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ไร้รอยต่อ และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ

5.2 การแสดงความพร้อมและการได้รับอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การขออนุญาตใช้และได้รับการจัดสรรน้ำดิบจากกรมชลประทาน การขออนุญาตและติดตั้งระบบไฟฟ้า การจัดทำสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับผู้ใช้น้ำ เพื่อให้การสูบส่งและการซื้อขายน้ำดิบให้แก่ผู้ใช้น้ำเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

5.3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สทนช., EEC, ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ควรมีส่วนร่วมการพิจารณาแผนการส่งมอบการทรัพย์สิน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ

นายเชิดชาย กล่าวว่า การส่งมอบทรัพย์สินจึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาและดำเนินการร่วมกันทุกฝ่าย และจัดทำแผนงานอันเป็นที่ยอมรับร่วมกัน เพื่อให้การส่งมอบ – รับมอบทรัพย์สินเป็นไปด้วยความราบรื่น เรียบร้อย ไม่กระทบต่อผู้ใช้น้ำ และสามารถให้บริการแก่ผู้ใช้น้ำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ประสงค์จะถ่วงเวลาในการส่งมอบโครงการ แต่มีความจำเป็นต้องโต้แย้งกรมธนารักษ์ เพื่อความเป็นธรรมและยืนหยัดในความถูกต้อง และมีข้อเสนอดำเนินการตามรายละเอียดข้างต้น เพื่อให้แน่ใจว่าการส่งมอบทรัพย์สินจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ ในช่วงที่ต้องมีการเปลี่ยนผ่านผู้บริหารจัดการท่อส่งน้ำของกระทรวงการคลัง

หากกรมธนารักษ์ ยังคงยืนยันที่จะให้อีสท์ วอเตอร์ส่งมอบทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำทั้งสองและดำเนินการต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 11 เม.ย.66 โดยไม่มีแผนร่วมกันในการส่งมอบ – รับมอบอย่างเป็นขั้นตอน อีสท์ วอเตอร์ ได้แจ้งให้กรมธนารักษ์ได้รับทราบผลกระทบและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อธุรกิจของผู้ใช้น้ำ รวมถึงภาพรวมของระบบเศรษฐกิจในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศแล้ว

หากเกิดประเด็นข้อพิพาทหรือกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดผลกระทบและความเสียหายใด ๆ ต่อผู้ใช้น้ำ อีสท์ วอเตอร์ก็ถือเป็นความรับผิดชอบโดยลำพังเพียงฝ่ายเดียวของกรมธนารักษ์ โดยบริษัทฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด

นายเชิดชาย ยืนยันจะเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาทั้งด้านการวางท่อและแหล่งน้ำให้เร็วที่สุด เพื่อให้กลับมาเป็น Water Grid ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยอีกครั้ง ที่ผ่านมา มีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และมีการลงทุนเพิ่มเติมในด้านต่างๆ อาทิ สถานีสูบน้ำ ท่อเชื่อมโยง ช่วยภาครัฐประหยัดงบประมาณในการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ขณะนี้มีการดำเนินงานการก่อสร้าง โดยการดำเนินการดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้ระเบียบและข้อบังคับของภาครัฐอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

“การส่งมอบท่อคืน ขอให้มั่นใจว่าส่งคืนแน่นอน แต่อยากให้กรมธนารักษ์ตระหนักถึงความสำคัญของผู้ใช้น้ำ และการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของ EEC เป็นหลัก การบริหารจัดการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกที่เป็นกระดูกสันหลังด้านเศรษกิจของประเทศไทย เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาการดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ใช้น้ำ ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนใน EEC และภาพลักษณ์การบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ แต่อยากให้ทุกภาคส่วนมีความพร้อมในการส่งมอบ-รับมอบทรัพย์สินเป็นไปด้วยความราบรื่น เรียบร้อย ไม่กระทบต่อผู้ใช้น้ำ และสามารถให้บริการแก่ผู้ใช้น้ำได้อย่างต่อเนื่อง” นายเชิดชายกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 66)

Tags: , , , ,