ประเทศไทย นับเป็นหนึ่งในประเทศจากทั่วโลกที่มีการตอบรับต่อการมาถึงของ Crypto Currency อย่างรวดเร็วภายใต้ บทบาทสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทั้งการออกหลักเกณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการอนุมัติใบอนุญาต (License) เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครบวงจร
สำหรับ “Crypto INSIGHT EP.3” จะพาทุกคนไปพูดคุยกับ นายกวิน พงษ์พันธ์เดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท บิทาซซ่า จำกัด (Bitazza) ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) และนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) เพื่อเจาะลึกการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่จำกัดแค่ภายในประเทศ
Bitazza คือ Gateway” เชื่อมโลกซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
นายกวิน เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า ภายหลังจากที่สำนักงาน ก.ล.ต.ได้ประกาศอนุมัติ License ตามลักษณะการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลออกเป็น 4 ประเภท คือ Exchange, Broker, Dealer และ ICO Portal ซึ่งความแตกต่างของ Bitazza จาก Exchange ทั่วไป คือได้รับ Broker License
หากเปรียบ Exchange เป็นผู้ให้บริการซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการจับคู่ออเดอร์ซื้อ-ขายภายในตลาดเดียว แต่Broker จะเป็นผู้ส่งคำสั่งซื้อ-ขาย ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ตลาดเดียว แต่เป็นการจับคู่ระหว่างตลาดซื้อขายทั่วโลก ภายใต้การทำงานของ Smart Routing เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ราคาที่ดีที่สุดในการซื้อขาย ณ เวลานั้น
นายกวิน กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล อาจมองตลาดหลักทรัพย์เปรียบเสมือนศูนย์รวมการซื้อขายสินทรัพย์ซึ่งมีสภาพคล่อง (Liquidity) พร้อม ขณะที่ธรรมชาติของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง “บิทคอยน์” ที่มีการกระจายศูนย์ค่อนข้างมาก สามารถเกิด (ขุด) ได้ทุกที่ นั่นย่อมหมายถึงมีตลาด (ศูนย์ซื้อขาย) มากมายเช่นกัน
“ประเทศไทยมีตลาดหลักทรัพย์เพียง 1 แห่ง แต่เรากลับมีบริษัทหลักทรัพย์ (Broker) มากมายหลายเจ้า แต่ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เหมือนกัน เพราะบิทาซซ่าเราเป็นเหมือน Gateway ที่จะนำคุณไปซื้อขายในหลาย Exchange เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุดในทุกตลาด”
นายกวิน กล่าว
สำหรับนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันที่มีลักษณะการลงทุนในมูลค่าที่ค่อนข้างสูง แต่สภาพคล่องในตลาดไม่เพียงพอBitazza จะมีบริการ OTC (Over The Counter Trading) เพื่อเชื่อมสภาพคล่องในต่างประเทศ เปรียบเสมือนImporter, Exporter ในการลงทุน ส่วนนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก นอกเหนือจากเหรียญสกุลหลักอย่าง BTC หรือETH ทาง Bitazza ยังได้คัดสรรเหรียญ DeFi ที่มีศักยภาพในตลาดโลก ทั้ง COMP, MKR, UNI หรือ SUSHI ทำการเชื่อมสภาพคล่องเพื่อรองรับการซื้อ-ขายด้วย
โอกาสการเติบโตของตลาดคริปโทไทยสู่ตลาดโลก
นายกวิน กล่าวต่อว่า การที่ประเทศไทยที่ถือเป็น First Mover ในการเข้ามากำกับ Crypto Currency ที่มีพื้นฐานบนเทคโนโลยีไร้พรมแดน ทำให้หลาย ๆ ประเทศเกิดแรงบันดาลใจที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันอาชีพนักพัฒนา(Developer) โดยจะเห็นว่า Developer สายบล็อกเชนจะมีอัตราค่าจ้างค่อนข้างสูงและเป็นที่ต้องการในระดับโลกในขณะนี้ ทำให้เยาวชนรุ่นใหม่หันมาสนใจกันมากขึ้น และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบล็อกเชนส่งออกไปยังต่างประเทศได้
ล่าสุด Bitazza ได้เข้าร่วมประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวง Digital Technology ของประเทศศรีลังกา เพื่อให้ความคิดเห็นในผลเชิงบวกทางเศรษฐกิจ รวมถึงโอกาส แนวโน้มการเติบโต และการกำกับดูแลว่าควรจะไปในทิศทางใดเพื่อให้เกิดนวัตกรรม ซึ่งเขื่อว่าหากทุกประเทศหันมาทำพร้อมกันจะมี Impact ค่อนข้างสูง
ขณะที่เราอยู่ในสภาพทางเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ปกติ จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้โลกดิจิทัลเข้ามาในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นและเร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนต้องอยู่บ้านมากขึ้น และ ใช้ชีวิตผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชำระสินค้าผ่านการสแกน QR Code หรือช้อปปิ้งออนไลน์
นายกวิน กล่าวว่า เราอยู่ในจุดที่ทุกคนต้องหันมาให้ความสนใจกับเทคโนโลยีมากขึ้น “สินทรัพย์ดิจิทัล” ก็เช่นกัน เห็นได้จากทิศทางราคาคริปโทฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างมาก และ 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศสหรัฐฯ มีการทำ QE พิมพ์เงินออกมาสู่ระบบเป็นจำนวนมาก นักลงทุนจึงไม่ถือเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลอีกต่อไป เริ่มมองหาสินทรัพย์ในลักษณะ “Store of value” ไม่ว่าจะเป็น “ทองคำ” หรือ “บิทคอยน์” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีราคากลาง (ราคาใกล้เคียงกันทั่วโลก) มีจำนวนจำกัด ไม่สามารถสร้างขึ้น
ใหม่ได้ และมี Infrastructure รองรับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ให้บริการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความปลอดภัยสูง
เทรนด์เหล่านี้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งหลายประเทศเริ่มมีการยอมรับและทำให้ถูกกฎหมาย (Regulated) ทำให้นักลงทุนรายย่อย หรือแม้แต่นักลงทุนสถาบันเริ่มหันมาให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารกองทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Paul Tudor Joneหรือ RayDalio ก็ได้แบ่งพอร์ตการลงทุนเข้ามาในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นที่เรียบร้อย
นายกวิน กล่าวว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับคริปโทฯ และบล็อกเชนในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมใหม่ จึงมีโอกาสเติบโตมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการแข่งขันมากขึ้น เพราะหลายคนมองในทางเดียวกัน แต่เชื่อว่าจะเป็นเหมือนการใช้บริการธนาคารที่แต่ละคนอาจใช้บริการธนาคารหลายแห่ง ในอุตสาหกรรมคริปโทฯ ก็เช่นเดียวกัน จะมีบริการต่าง ๆ เกิดขึ้นในโลกค่อนข้างมาก ยิ่งมีตัวเลือกมากก็จะเป็นเรื่องดีต่อผู้บริโภค
การแข่งขันแม้จะเป็นอุปสรรคบ้าง แต่เป็นช่องทางที่ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกและได้รับบริการที่ดีที่สุด เป็นหนึ่งในวิธีการผลักดันให้บริษัทพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง พยายามเข้าใจผู้บริโภคให้เร็วขึ้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้มีคุณภาพมากขึ้น ทั้งหมดนั้นผู้บริโภคจะตัดสินใจเองว่าจะใช้บริการรายใด โอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีอีกมาก และโอกาสต่อยอดยังมีอีกมากเช่นกัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้ หน้าที่ของเราคือทำให้พายก้อนนี้ใหญ่ขึ้น
“ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Crypto Currency ถือเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง สักวันหนึ่ง วงการสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะมีการพัฒนาใกล้เคียงกับการให้บริการของธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์มากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ หรือการให้บริการที่หลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้บริการ ยังไม่รวมถึงโอกาสที่กำลังจะเข้ามาจากต่างชาติ”
นายกวิน กล่าว
นายกวิน กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นฐานของคริปโทฯ ยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะบิทคอยน์ แม้ว่ารัฐบาลจีนจะพยายามขัดขวาง แต่คริปโทฯ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกครั้งเมื่อมีการสกัดกั้นก็จะเกิดใหม่และแพร่กระจายออกไป เปรียบเหมือนการตัดหัวไฮดร้า ซึ่งทำให้คริปโทฯ กระจายไปหลายประเทศ ยิ่งทำให้ปิดยากขึ้น พื้นฐานจะยิ่งดีขึ้น ส่งผลดีในระยะยาวดีขึ้น แต่ระยะสั้นอาจมีความผันผวนบ้าง เพราะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงอาจไม่รู้ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไรต่อไป จึงต้องเทขายออกไปเพื่อเปลี่ยนมาถือเป็นเงินสดไว้ก่อน
ไปได้ไกลไปด้วยกันกับ Bitazza Phrase 2
นายกวิน กล่าวว่า Bitazza เองก็พยายามนำเสนอนวัตกรรมใหม่ให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย โดยได้ทำการมอบเหรียญ Utility Token ชื่อ “BTZ” มูลค่าเหรียญละ 3.33 บาท จำนวนกว่า 10 ล้านโทเคนฟรีให้แก่ผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม ซึ่งนักลงทุนสามารถนำไปชำระค่าธรรมเนียมเทรด และใช้บริการอื่น ๆ เช่น แลกสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งทางBitazza ปรับมูลค่าโทเคนใน phase 2 เป็น 6.66 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนเหรียญในระบบ
ปัจจุบัน Bitazza ได้เตรียมงานวิจัย (Research) เกี่ยวกับ “Ethereum” และการ “Scaling ของBlockchain”เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน และ Chat Group ที่มี Broker คอยช่วยเหลือตอบคำถาม พร้อมแนะนำวิธีในการใช้งานแพลตฟอร์ม แก่ผู้ถือ “BTZ Token” (ตามลำดับขั้น) ด้วย
ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถรับเหรียญ BTZ Token” ผ่านการเปิดบัญชีและแนะนำให้เปิดบัญชี (Refferal Program)และร่วมทำกิจกรรมกับ Bitazza ที่หน้าเพจ https://www.facebook.com/bitazza
บทความโดย ดวงกมล คล่องบุญจิต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.ค. 64)
Tags: Bitazza, bitcoin, Blockchain, BTZ Token, Crypto Insight, Cryptocurrency, Ethereum, ก.ล.ต., กวิน พงษ์พันธ์เดชา, คริปโตเคอเรนซี, คริปโทเคอร์เรนซี, บล็อกเชน, บิทคอยน์, สินทรัพย์ดิจิทัล