CPF มั่นใจปี 68 กำไรโตแน่ ตามปริมาณขาย ราคาหมู-ไก่ดี จัดงบ 2 หมื่นลบ.ปักหมุดขยายฟิลิปปินส์

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร [CPF] เปิดเผยว่า ในปี 68 บริษัทมั่นใจว่ากำไรจะเติบโตขึ้นจากปี 67 ที่พลิกกลับมาเป็นกำไร โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-8% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5.8 แสนล้านบาท ตามปริมาณการขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% และราคาขายสูงขึ้น 2-3% ประเมินราคาสุกรในไทยอยู่ที่ 80-85 บาท/กก. และราคาไก่ 40-45 บาท/กก.

แนวโน้มไตรมาส 1/68 ผลประกอบการดีกว่าไตรมาส 1/67 โดยเฉพาะราคาสุกรในเวียดนามและกัมพูชาอยู่ในระดับสูงกว่าราคาในประเทศไทย โดยเวียดนามราคาสุกรสูงกว่า 90 บาท/กก. กัมพูชา ขึ้นไปแตะ 100 บาท/กก. เนื่องจากมีการระบาดโรค ASF ในเอเชียยังทำให้ราคาสุกรอยู่ระดับสูง

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นกว่าปีก่อน โดยต้นทุนในกระบวนการผลิตและการขายโดยรวมลดลงหลังจากบริษัทได้เดินหน้าปรับกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบด้วยการนำเทคโนโลยี AI, IoT เข้ามาช่วยในโรงงานจากเดิม โดยบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่อง 4-5 ปีแล้วและยังทำต่อเนื่องไปอีก

นอกจากนี้ ราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลืองไม่ได้สูงเหมือนปี 66 ที่รับผลกระทบสงครามยูเครน-รัสเซีย และการระบาดโควิดทำให้ซัพพลายเชนเสียหาย ส่งผลให้ราคาข้าวโพดในปีนั้นสูงขึ้น แต่ปัจจุบันจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์ลดน้อยลงทำให้ดีมานด์ลดลงไปด้วย ส่งผลดีมาตั้งแต่ปี 67 ซึ่ง CPF ทำกำไร 19,558 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสูงสุดอันดับ 2 ในรอบ 10 ปี พลิกจากปี 66 ที่มีผลขาดทุน 5,207 ล้านบาท

สำหรับสัดส่วนรายได้ของ CPF ตามธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) คิดเป็นสัดส่วน 23% ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) คิดเป็น 55% และธุรกิจอาหาร (Food) คิดเป็น 22%

โดยกลุ่ม Feed และ Food มียอดขายและกำไรนิ่งแล้ว ราคาขายไม่ค่อยแกว่ง ทำกำไรได้ดีโดยเฉพาะ Food ขณะที่ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ ที่มีฟาร์มเลี้ยงและเนื้อสัตว์ กำไรยังแกว่งตัวได้ที่ผันแปรไปตามราคาขาย แต่ในส่วนต้นทุนก็ควบคุมได้แล้ว

นายสุจริต มัยลาภ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจการค้าในประเทศ CPF กล่าวว่า ในส่วนกลุ่มธุรกิจ Food ปัจจุบันอาหารสำเร็จรูปที่ส่งออกได้รับความนิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะเมนูอาหารไทย อาทิ ประเทศฟินแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก โดยบริษัทส่งออกในชื่อ Thai Cube ที่เป็น Global Brand มี 7-8 SKU และเพิ่งขยายส่งออกไปอังกฤษและเยอรมัน ทั้งนี้ ชาวยุโรป ชื่นชอบอาหารไทย ทำให้สินค้า CPF ได้รับความนิยม

จัดงบ 2 หมื่นลบ.เน้นลงทุนฟิลิปปินส์

นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใช้ในการปรับปรุงโรงงาน และสร้างโรงงานใหม่แต่ไม่ใช่ขนาดใหญ่ เพราะปีนี้ยังระมัดระวังในการลงทุนท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน

อย่างไรก็ดี บริษัทเล็งเห็นโอกาสการเติบโตธุรกิจในฟิลิปปินส์ที่มีประชากรถึง 110 ล้านคน จึงมีแนวทางที่จะขยายการลงทุน ซึ่งจะเป็นการเช่าโรงงานชำแหละหมู-ไก่เพิ่มเติม คาดว่าจะทำให้ยอดขายในฟิลิปปินส์ปีนี้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนมียอดขายกว่า 2 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าจะเพิ่มยอดขายเป็น 5 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี

ปัจจุบัน บริษัทมีการลงทุนโดยตรงใน 14 ประเทศ และบริษัทร่วมทุนใน 3 ประเทศ โดยรายได้หลักมาจากในประเทศไทย 31% รองลงมาเป็นเวียดนาม 22% จีน 5% และรายได้จากส่งออก 6% ทั้งนี้ เวียดนามถือว่าเติบโตได้เร็วมาก ปี 67 ยอดขายทะลุ 1.2 แสนล้านบาทไปแล้ว

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยลบสำคัญในปีนี้ คือ นโยบายการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ แต่สำหรับ CPF คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปสหรัฐเพียงรายการเดียวคือ เกี๊ยวกุ้ง มูลค่าราวปีละ 20 กว่าล้านเหรียญ ขณะที่ CPF มีโรงงานผลิตสินค้าในสหรัฐเพื่อจำหน่ายภายในประเทศมียอดขายประมาณ 2 หมื่นล้านบาท/ปี

พับแผน 3 บ.ลูก เข้าตลาดหุ้นหลังภาวะไม่ดี

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ CPF กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ CPF มีแผน Spin off บริษัทลูก 3 บริษัทใน 3 ประเทศเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ได้แก่ ในประเทศไทย คือ บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอลฟู้ด โซลูชั่น (CPFGS) ที่ยื่นไฟลิ่งไปตั้งแต่ปี 66 แต่ได้ถอนออกมาแล้ว เพราะเห็นว่าตลาดหุ้นยังไม่ค่อยดี หากเข้าไปอาจจะทำให้ไม่ได้มูลค่าที่เหมาะสม

ขณะที่บริษัท ซีพี เวียดนาม ที่มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม ยื่นไฟลิ่งไปแล้วเช่นกันแต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามปราบปรามการทุจริตคอร์รับชั่นหนัก และตัดลดกรมกองรวมถึงข้าราชการจำนวนมาก ทำให้ขั้นตอนของหน่วยงานต่าง ๆ หยุดชะงักไป โดยปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามเพิ่งเริ่มกลับมาเร่งเครื่องในประเทศ

ส่วนอีกบริษัทอยู่ในจีน ก็ได้ถอนเรื่องการเข้าตลาดหุ้นจีนออกมาก่อนเช่นกัน เพราะสถานการณ์ฟาร์มเลี้ยงสุกรในจีนย่ำแย่ และตลาดหุ้นจีนก็ยังไม่ฟื้น ไม่ได้เอื้อต่อการนำหุ้นเข้าตลาด จึงตัดสินใจพับแผนไปก่อน เพราะเป้าหมายของบริษัทต้องากรให้บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในประเทศนั้นๆ มีมุลค่าที่ดีที่สุด

ขณะที่บริษัทหันมาเน้นการลดหนี้ เพราะสภาวะรอบด้านไม่เอื้อให้ลงทุน จึงนำไปลดหนี้ โดย ณ สิ้นปี 67 Net Debt/Equity อยู่ที่ 1.5 เท่า และบริษัทยังมีวงเงินหุ้นกู้ที่ Rollover 4-5 หมื่นล้านบาท/ปี ต้นทุนการเงิน 4%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 68)

Tags: , , ,