นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (SCG Decor) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/66 บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปรับราคาสินค้าขึ้นบางรายการ แม้ว่าปริมาณการขายภาพรวมจะลดลง 10% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขายส่งออกที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนก็ตาม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการขายที่ดิน 25 ล้านบาทอีกส่วนหนึ่งด้วย จึงทำให้มีกำไรสำหรับงวด 260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ความต้องการใช้กระเบื้องเซรามิกในไตรมาสนี้ มีแนวโน้มทรงตัวจากปีที่ผ่านมา โดยกำลังซื้อชะลอตัวในตลาดชาวบ้านตามอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวมีกำลังซื้อฟื้นตัวอย่างชัดเจนโดยได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักและการเปิดประเทศของจีน สำหรับราคาพลังงานยังคงเพิ่มขึ้นแต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก
“อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี จากการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวและความต่อเนื่องของงานโครงการภาคเอกชน ถึงแม้ว่ากำลังซื้อในตลาดชาวบ้านจะยังชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงที่ยังต้องพิจารณา ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤติเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงที่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้า รวมถึงการผันผวนของราคาพลังงานที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต โดยบริษัทฯ จะยังคงเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารร่วมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง” นายนำพล กล่าว
ในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ การพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการคงสถานะผู้นำตลาดเซรามิกในประเทศนั้น นายนำพล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด จึงเป็นที่น่าภูมิใจว่าในปีนี้ กระเบื้องปูพื้นและกรุผนัง COTTO ยังสามารถคว้ารางวัลแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี 2566 หรือ “Thailand’s Most Admired Brand” ได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 12
พร้อมกันนี้ จะเร่งต่อยอดพัฒนาสินค้านวัตกรรมและสินค้ามูลค่าเพิ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคให้ความสำคัญกับปัจจัย “รักษ์โลก” เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำสถานะผู้นำเทรนด์นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแบรนด์ COTTO ด้วยการพัฒนาสินค้าตามแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดการใช้พลังงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ มีการตั้งเป้าหมายสัดส่วนยอดขายสินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมฉลาก SCG Green Choice เป็นจำนวนร้อยละ 80 ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ภายในปี 2573
นายนำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านความคืบหน้าเรื่องการขออนุมัติผู้ถือหุ้นนั้น COTTO จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นขึ้นในวันที่ 23 พ.ค.นี้ โดยคณะกรรมการบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการสนับสนุนและได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้ถือหุ้น เนื่องจาก SCG Decor ได้ประกาศแผนที่จะเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายปัจจุบัน และสูงกว่าราคา ณ วันที่ประกาศ ที่สำคัญ SCG Decor ยังเป็นบริษัทแกนหลักของ SCG และเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 6 เท่า จึงมีโอกาสที่จะเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่า หลังจากที่ SCG Decor ได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว
“ในช่วงปลายเดือนเมษายน ต้นเดือนพฤษภาคม SCG Decor ยังเตรียมที่จะพบปะกับผู้ถือหุ้น COTTO ทั้งที่เป็นนักลงทุนสถาบันและรายย่อย เพื่ออธิบายถึงแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย” ทั้งนี้ ก่อนที่จะนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัท ได้พิจารณาไตร่ตรองเรื่องการปรับโครงสร้างร่วมกับ SCG Decor โดยถี่ถ้วน และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประโยชน์ของผู้ถือหุ้น เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่านสามารถให้ความไว้วางใจ และให้การสนับสนุนบริษัทฯ ได้อย่างมั่นใจ” นายนำพล กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 เม.ย. 66)
Tags: COTTO, ท่องเที่ยว, นำพล มลิชัย, หุ้นไทย, เอสซีจี เซรามิกส์