โบรกเกอร์ประสานเสียงเชียร์หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) มองบวกแผนตั้งกอง REIT ใหญ่ถึง 1.2-1.5 ล้านเหรียญ (4.2-5.3 หมื่นลบ.) เพื่อนำเงินไปใช้คืนหนี้และลงทุนขยายธุรกิจต่อเนื่อง ช่วยลดความกังวลเรื่องหนี้สูงและลดภาระดอกเบี้ยจ่าย หนุนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น รวมถึงลดความผันผวนจากค่าเงินบาทด้วย โดยมีแผนลดอัตราหนี้สุทธิต่อทุน (Net IBD/E) จากที่ 0.8เท่าในไตรมาส 4/67 ลงไปที่ 0.7 เท่าในปี 68
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมในยุโรปยังคงแข็งแกร่ง แม้ไตรมาส 4/67 อยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น ประเมินรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) จะเติบโต 6-7% ส่วนโรงแรมในเอเชียคาด RevPAR เติบโต 10-15%
MINT ยังประกาศแผนการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมจาก 561 เป็น 780 แห่งในปี 69 จำนวนห้องเพิ่มขึ้นจาก 8.1 หมื่นห้อง เป็น 1.2 แสนห้อง และเน้นการเพิ่มสัดส่วน Asset Light จาก 31% ในปัจจุบันเป็น 50% ใน 69
ส่วนธุรกิจอาหารก็จะขยายสาขาต่อเนื่องเช่นกัน
ราคาหุ้น MINT ปิดเช้านี้ อยู่ที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.93%)
นางสาวเกวลี ทองสมอางค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า MINT คงตั้งเป้าลดหนี้สินสุทธิที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Net IBD/E) ในช่วงปี 67-68 ซึ่งในไตรมาส 4/67 จะต่ำลงมาที่ 0.8 เท่า จากไตรมาส 3/67 ที่ 0.98 เท่า และสิ้นปี 68 จะลดลงมาที่ 0.7 เท่า ทำให้ Balance Sheet ดีขึ้นหลังจากหนี้สินเพิ่มขึ้นมามากในช่วงโควิด
บริษัทมีแผนจัดตั้งกอง REIT ที่คาดนำโรงแรมในเอเชีย (ไทยและมัลดีฟส์) ขายเข้ากอง REIT คาดขนาดกองทุนราว 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่บริษัทจะถือหุ้น 50% ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับเงินราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.3-2.4 หมื่นล้านบาท โดยจะจัดสรรเงิน 1 หมื่นล้านบาทชำระหนี้ และอีกครึ่งหนึ่งนำไปขยายการลงทุน
นางสาวเกวลี กล่าวว่า MINT มีภาระดอกเบี้ย 5-6% หากชำระหนี้สำเร็จจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ราว 500 ล้านบาท/ปี เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประมาณกำไรอีก 6% อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าน่าจะจัดตั้งกอง REIT ในปลายปี 68 หรือใช้เวลา 12 เดือน เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้น MINT ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก แม้ในช่วงไตรมาส 2-3 เป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดยุโรป แต่ราคาหุ้นไม่ได้สะท้อน เพราะตลาดฯ กังวลภาระหนี้สูง โดย MINT มีภาระดอกเบี้ยจ่ายปีละ 1 หมื่นล้านบาท และยังมีประเด็นเงินบาทแข็งค่า
สำหรับธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 4/67 คาดว่า RevPAR จะเติบโต 6-7% ได้แรงหนุนจากอัตราการเข้าพักและค่าห้องพักเฉลี่ยในยุโรป ขณะที่ในเอเชีย RevPAR คาดว่าจะเติบโต 10-15%
ประมาณการกำไรสุทธิในปี 67 อยู่ที่ 7,728 ล้านบาท เติบโต 20% และในปี 68 กำไรสุทธิ 8,339 ล้านบาท เติบโต 10% โดยมองว่าธุรกิจในปี 68 จะกลับมาสู่ Normal จากช่วงปี 66-67 เห็นการปรับขึ้นราคาห้องอย่างมากหลังผ่านพ้นช่วงโควิด
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น MINT ด้วยราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 34.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.5%) โดยมีมุมมองเป็นบวกจากแผนจัดตั้ง REIT ช่วยลดความผันผวนได้หลายทาง (ลดหนี้, ลดความผันผวนของค่าเงิน และขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่อง) ซึ่ง MINT อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะ Listing ในไทยหรือสิงคโปร์ ซึ่งจะเป็นกอง REIT ในกลุ่ม Hospitality ที่มีมูลค่าขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียที่ราว 1.2-1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือคิดเป็นราว 4.2-5.3 หมื่นล้านบาท)
MINT ตั้งใจที่จะถือกอง REIT ในสัดส่วน 50% ดังนั้นจะได้กระแสเงินสดเข้ามา 600-750 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.1-2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ขายเข้ากอง REIT เป็น Freehold ในแถบเอเชีย โดยปัจจุบัน MINT มีสินทรัพย์ที่เป็น Freehold ทั้งพอร์ตราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นราว 1.75 แสนล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลา 12-18 เดือนในการจัดตั้งกอง REIT ได้ ซึ่งจะช่วยลดหนี้, ลดความผันผวนของค่าเงิน และสามารถขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
นอกจากนี้ ผู้บริหารตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ใน 3 ปี (ปี 67-69) ที่ 8-10% CAGR (เราคาด 7%) และกำไรจะเติบโตได้ที่ 15-20% CAGR (เราคาด 10%) โดยจะยังเน้นการปรับค่าห้องพัก(ADR) เพิ่มขึ้นในทุกประเทศ ซึ่งที่ยุโรปจะมีการ Rebrand ราว 30 โรงแรมภายในช่วงปี 67-69 คาดว่าจะช่วยให้ ADR เพิ่มขึ้นได้มากกว่า 20%
ส่วน RevPAR เดือน ต.ค.67 ที่ยุโรปยังเพิ่มขึ้นได้ที่ 4-5% YoY และมี ADR เพิ่มขึ้น 2-3% YoY แม้ว่าเป็นช่วงใกล้ Low season และไทย RevPAR เพิ่ม 9-10% YoY ส่วนเดือน พ.ย.-ธ.ค.67 คาดรายได้ที่ยุโรปจะเติบโตราว 5% YoY ส่วนไทยเติบโตราว 15% YoY
ในปี 67 ยังมีแผนลด Net D/E เหลือ 0.80 เท่า จากไตรมาส 3/67 ที่ 0.98 เท่า(หนี้ต้องลดลงราว 1.5 หมื่นล้านบาท) โดยนำเงินสดที่มีอยู่มาชำระเงินกู้ยืมระยะยาวบางส่วน และจะนำลูกหนี้บางส่วนออกมาขาย ซึ่งอยู่ระหว่างการหาผู้ซื้อ คาดว่าจะจบดีลได้ภายในไตรมาส 4/67 เบื้องต้นคาดว่าจะไม่มี Negative impact ต่องบกำไรขาดทุน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจ่ายในไตรมาส 4/67 จะเริ่มลดลงได้ เพราะมีสัดส่วน Float rate ที่ 53%
เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 67 ที่ 7.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% YoY จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะที่ไทยและยุโรป ขณะที่คาดว่าไตรมาส 4/67 จะเติบโต YoY ได้ต่อ เพราะเป็น High season ทั้งในไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน รวมถึงค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะลดลงจากการทยอยคืนหนี้
ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -5% และ -6% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากประเด็นเรื่องสเปน (สัดส่วนราว 30% ของรายได้โรงแรม NH) ที่ยังมีการประท้วงต่อต้านนักท่องเที่ยวมาตลอดตั้งแต่เดือน เม.ย.67 รวมถึงมีสถานการณ์น้ำท่วมที่สเปนเข้ามากดดันเพิ่มเติม ขณะที่ RevPAR ยังเติบโต YoY ได้ดี
ด้าน valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA
ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 34.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.5%) เพราะสะท้อนถึงความผันผวนของค่าเงิน ขณะที่มีความเสี่ยงจากราคาพลังงานในยุโรปที่อาจจะกระทบต้นทุนให้สูงมากกว่าคาด ขณะที่ปี 67 มีการ Hedging ไปแล้วที่ 30% ประกอบกับ โรคระบาดใหม่ที่จะกระทบภาพรวมการท่องเที่ยว รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อการบริโภค
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ MINT โดยบริษัทยังคงมั่นใจต่อแนวโน้มในไตรมาส 4/67 จนถึงปี 68 จากการดำเนินงานโรงแรมในไทย เอเชีย และยุโรปที่ RevPar ยังเติบโต แผนการปรับปรุงและขยาย โรงแรม และแผนการลดภาระหนี้ที่คาดจะเห็นชัดเจนขึ้น
ดังนั้น เรายังคงประมาณการผลประกอบการ MINT โดยคาดกำไรปกติจะเติบโต yoy และ qoq ในไตรมาส 4/67 และกำไรทั้งปี 67 จะยังคงเติบโต 17% yoy มาที่ 8.3 พันล้านบาท ปัจจุบัน MINT ซื้อขายอยู่ที่7x EV/EBITDA, 16x PER 2025F ซึ่งคิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีตแล้ว ดังนั้น เรายังคงค แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 38 บาท
ธุรกิจโรงแรมของ MINT ในยุโรปและละตินอเมริกา RevPar ในเดือน ต.ค.67 เพิ่มขึ้น 4-5% yoy ในขณะที่รายได้จากยอดจอง (One-the-Book) เติบโตระดับ high single digit ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.67 สำหรับเอเชีย (ไทยและอื่นๆ) RevPar เพิ่มขึ้น 9-10% ในเดือน ต.ค.67 และจะเติบโตได้สองหลักช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับปี 68 บริษัทมีมุมมองระมัดระวัง โดยคาดเติบโตเลขตัวเดียว (Mid-Low) แต่จะใช้กลยุทธ์ในการ Rebranding และ Repositioning โรงแรมเพื่อขยับขึ้นค่ำห้องพัก และมีแผนการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่องจาก 561 เป็น 780 โรงแรมในปี 69 จำนวนห้องเพิ่มจาก 8.1 หมื่นห้องเป็น 1.2 แสนห้อง พร้อมเน้นการเพิ่มสัดส่วน Asset Light จาก 31% ในปัจจุบัน เป็น 50%
ส่วนธุรกิจอาหาร ไทยและสิงคโปร์ยังเป็นพื้นที่หลักด้วย TSSSG ที่ยังเป็นบวก (ไทย SSSG ลบเล็กน้อย (vs -0.8% ใน Q3/67) , สิงคโปร์ +2% (vs -1.1% ใน Q3/67) หลักๆ จากแบรนด์หลัก เช่น Sizzler’s, The Pizza Company และ Dairy Queens’s ในขณะที่ออสเตรเลียดีขึ้นด้วย flat yoy (vs -1.6% ใน Q3/67) มีการปรับปรุงร้าน The Coffee Club และจีนติดลบน้อยลงมาที่เลขตัวเดียว (vs -20% ใน Q3/67) บริษัทมีการปรับกลยุทธ์เพิ่มแบรนด์ใหม่และเน้นควบคุมต้นทุน
สำหรับระยะกลาง บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาจาก 2.6 พันสาขาในไตรมาส 3/67 เป็น 3.7 พันสาขาในปี 69 โดยจะเน้นรูปแบบแฟรนไชส์ iv)
MINT คงแผนการลด Net IBD/E ลดลงเหลือ 0.98 เท่าในไตรมาส 3/67 ต่ำกว่ำ covenant ของบริษัทที่ 1.3 เท่าและตั้งเป้าอยู่ที่ 0.8x ใน 67 จากการจ่ายชำระคืนหนี้ตามผลการดำเนินงาน และฐานเงินทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทมีแผนออก REITs ใน 12-18 เดือนข้างหน้าเพื่อช่วยลดภาระหนี้และความเสี่ยงจากความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปัจจุบันยังไม่เปิดเผยถึงรายละเอียด
เราคาดว่ากำไรปกติของ MINT ในไตรมาส 4/67 จะเติบโต yoy และ qoq จากการดำเนินงานโรงแรมที่เติบโตทั้งในไทยและยุโรป นอกจากนี้ การจัดการหนี้สินของ MINT ที่เห็นผลมาจากกการเร่งจ่ายชำระหนี้ในไตรมาส 3/67 และภาระดอกเบี้ยลดลงเหลือ 9.8 หมื่นล้านบาท ช่วยสนับสนุนการเติบโตของกไรในไตรมาส 4/67-ปี 68
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ MINT ลดลงในช่วงที่ผ่านมาและซื้อขายต่ำกว่ากลุ่มที่ EV/EBITDA ที่ 7 เท่า และ P/E ที่ 16 เท่า หรือ -1SD จากค่าเฉลี่ยในอดีต ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่ 38 บาท (DCF)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ย. 67)
Tags: Consensus, MINT, SCOOP, หุ้นไทย, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล