โบรกเกอร์เชียร์ “ซื้อ” หุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป [MAJOR] มองไตรมาส 4/67 คาดเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี จากภาพยนตร์ร่วมทุน “ธี่หยด 2” ทำรายได้ถล่มทลาย และการฟื้นตัวของยอดขายป๊อปคอร์น และโฆษณาในโรงหนัง
ขณะที่ปี 68 หนังฮอลีวู้ดคืนชีพ หนังฟอร์มยักษ์จ่อไหลเข้าทั้งปีที่ ส่วนใหญ่เป็นแนวแอ็คชั่นถูกจริตคนไทย ประเดิมด้วย “กัปตันอเมริกา” ต่อด้วย “Mission: Impossible” , “Jurassic World” , “Superman” เป็นต้น
และยังมีภาคต่อหนังไทยที่เคยได้รับกระแสอย่างล้นหลามและทำเงินรายได้สูงรอคิวเข้าฉาย อาทิ “ธี่หยด 3” , “สัปเหร่อ 2” , “อนงค์ 2” , “หอแต๋วแตกภาค 11” , “หลวงพี่แจ๊ส โคตรซิ่งภาค 3” , “นาคี 3” โดย MAJOR ร่วมทุนสร้างกับพาร์ทเนอร์หลายราย
นอกจากนั้น ในปีนี้ MAJOR มีแผนเพิ่มจำนวนโรงฉายอีก 40-50 โรง พร้อมกระจายจุดขายป๊อปคอร์นให้มากขึ้น รวมทั้งนำระบบอัตโนมัติมาใช้งานมากขึ้นเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายพนักงาน เริ่มจากตู้จำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์อัตโนมัติ (E-Ticketing) เครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มและป๊อปคอร์นอัตโนมัติที่ทยอยติดตั้งอย่างต่อเนื่
ราคาหุ้น MAJOR ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 14.50 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.68%) ขณะที่ SET -0.41%
นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ของ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่า ผลงานในไตรมาส 4/67 ของ MAJOR คาดว่าจะดีกว่าในไตรมาส 3/67 แต่เทียบกับไตรมาส 4/66 อาจจะอ่อนตัวหรือมีลุ้นทำกำไรสูงขึ้นได้เล็กน้อย เนื่องจากรายได้ภาพยนตร์ไทย “ธี่หยด 2” ทำรายได้สูงมากกว่า 800 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ขณะที่ไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว “ธี่หยด 1” ทำรายได้ 550 ล้านบาท เช่นเดียวกับ “สัปเหร่อ” และ “โฟร์คิงส์” ที่เข้าฉายในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ดี เมเจอร์จอยฟิล์ม ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ MAJOR ร่วมทุน บมจ.บีอีซี เวิลด์ [BEC] ฝ่ายละ 50% ในการสร้างหนัง “ธี่หยด 2” ส่งผลให้ MAJOR ได้รับมาร์จิ้นสูงขึ้น ขณะที่ภาพยนตร์ฮอลีวู้ดในไตรมาส 4/67 ยังทำรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาท จึงยังไม่ได้เข้ามาช่วยภาพรวมมากนัก
ส่วนธุรกิจโบว์ลิ่งและพื้นที่เช่าก็มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทั้ง q-q, y-y แต่เนื่องจากรายได้ตั๋วมีเป็นรายได้หลักถึงราว 50% มียอดลดลง YoY ทำให้ภาพรวมรายได้ลดลง แต่อัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นจากการร่วมทุน “ธี่หยด 2” และการเพิ่มสัดส่วนป๊อบคอร์นในโรงภาพยนตร์ และมาตรการคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คาดเห็นกำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ q-q และลดลงไม่มาก y-y
ทั้งนี้ ภาพรวมทั้งปี 67 มีหนังไทยที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทอยู่ 8 เรื่องช่วยชดเชยรายได้จากหนังฮอลีวู้ดที่น้อยกว่าคาดไปได้ระดับหนึ่ง
ส่วนในปี 68 ภาพรวมน่าจะดีกว่าปี 67 แนวโน้มกำไรโตขึ้น y-y จากภาพยนตร์ใหญ่ทั้งไทยและฮอลลีวูด โดยปีนี้ภาพยนตร์ดูเด่นกว่าในปีก่อน โดยเฉพาะภาพยนตร์แนวฮีโร่ และ Action ที่มีหลายเรื่องน่าสนใจ เริ่มด้วย “กัปตันอเมริกา ศึกฮีโร่จักรวาลใหม่” กำหนดเข้าฉาย 12 ก.พ., “สโนว์ไวท์” 30 มี.ค., “ไมน์คราฟต์” 3 เม.ย., “Thunderbolts” 1 พ.ค., “Mission: Impossible” 8-22 พ.ค., “Jurassic World 5” 3 ก.ค., “Superman” 10 ก.ค., “Fantastic Four: First Steps” 24 ก.ค., “Tron” ต.ค., “Zootopia 2” พ.ย., “Avatar 3” 18 ธ.ค.
และภาพยนตร์ไทยภาคต่อเนื่องที่ภาคก่อนหน้าทำรายได้ไว้ดี อย่าง “ธี่หยด 3” 8 ต.ค., “หอแต๋วแตกแหกหัวกับไส้” (ภาค 11), “ครุฑานาคี (นาคี 3), “เหมรย 2” , “ของแขก 2” , “สัปเหร่อ 2” , “อนงค์ 2” , “อีเรียมซิ่ง 2” , “หลวงพี่แจ็ส โคตรซิ่ง” (ภาค 3) รวมแล้วมีภาพยนตร์ไทยราว 55-60 เรื่อง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นภาพยนตร์ร่วมทุนระหว่าง MAJOR กับพาร์ทเนอร์ถึง 24 เรื่อง และจากค่ายภาพยนตร์ใหญ่
นอกจากนี้ คาดจำนวนโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 40-50 โรง รวมถึงการออกป๊อปคอร์นรสชาติใหม่ อย่างรสโนริสาหร่ายที่ออกไปปลายปี 67 และเตรียมออกรสหวาน รวมถึงการเพิ่ม Kiosk ขายนอกโรงภาพยนตร์เท่าตัวเป็น 40-50 จุด และเพิ่มยอดขาย Delivery ออนไลน์ และขายผ่านร้าน 7-11 ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังควบคุมค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
ในปี 68 คาดรายได้และกำไรของ MAJOR เติบโตเป็น 8,845 ล้านบาท และ 851 ล้านบาท จากปี 67 คาดไว้ที่ 8,047 ล้านบาท และ 727 ล้านบาท จากภาพยนตร์ทั้งไทยและฮอลลีวูดที่น่าสนใจมากกว่าปีก่อน ส่งผลต่อรายได้ป๊อปคอร์นและโฆษณาให้โตตาม รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ทำอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ MAJOR ได้นำระบบอัตโนมัติมาใช้งานมากขึ้น เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายพนักงาน เริ่มจากตู้จาหน่ายบัตรชมภาพยนตร์อัตโนมัติ (E-Ticketing) เครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มและป๊อปคอร์นอัตโนมัติ (Self-Ordering Kiosk : SOK) ที่อยู่ระหว่างทยอยติดตั้ง สนับสนุนการขายให้พนักงาน โดยผู้ชมภาพยนตร์สามารถเลือกโปรโมชันได้เอง และจะลดค่าใช้จ่ายพนักงานลงได้ 30 ล้านบาท/ปี
และการเปลี่ยนระบบฉายเป็นระบบ Laser Projector ที่ทยอยเปลี่ยนในช่วง 5 ปี (68-72) กับทุกโรงภาพยนตร์ จะช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพยนตร์ ยังช่วยต้นทุนในการซ่อมบารุงและลดค่าไฟฟ้าจากระบบเดิมได้ 25% รวมถึงการบริหารจัดการรอบฉายโดยลดรอบดึก ๆ ในวันธรรมดา เพื่อลดค่าใช้ไฟฟ้า-ค่าโอทีพนักงาน และเจรจาต่อรองลดค่าเช่ากับ Landlord ซึ่งมีส่วนผลักดันกำไรเพิ่ม
MAJOR ยังนำหุ้นที่ซื้อคืนมาลดทุนครั้งที่ 1 เมื่อ 16 พ.ค.67 ที่ 65.53 ล้านหุ้น หลังครบซื้อหุ้นคืน 15 ม.ค.67 หรือคิดเป็น 7.3% ของทุนชำระแล้วที่ 894.67 ล้านหุ้น เหลือ 829.14 ล้านหุ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 2 ที่ 76.80 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 9.26% ของทุนชำระแล้ว ระหว่างวันที่ 16 ก.ค.67-15 ม.ค.68 โดยถึง 23 ธ.ค.67 ซื้อคืนไปแล้ว 63.67 ล้านหุ้น คาดจะนำมาลดทุนอีก ซึ่งจากการลดทุนและซื้อคืนหุ้นทำให้กำไรต่อหุ้นและเงินปันผลสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นและผลตอบแทนเงินปันผลในอนาคต
อย่างไรก็ดี ฟิลลิปฯ ได้ปรับเป้า P/E 20 เท่า เป็น P/E 18 เท่า ราคาเป้าหมายลงจาก 20.70 บาท เป็น 20.30 บาท แนะนำ “ซื้อ” เหตุผลที่ปรับลดเป้าเนื่องจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมากระแสผู้ชมภาพยนตร์ในโรงคาดเดาได้ยาก มีความเสี่ยงว่าคาดการณ์หนังแต่ละเรื่องอาจทำรายได้ไม่ได้ตามเป้า ภาพยนตร์ที่คาดว่าจะทำรายได้ดีกลับได้ไม่ดี ในทางกลับกันภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยคาดหวังสูงกลับทำรายได้ออกมาดี เช่น สัปเหร่อ ระยะหลังหนังไทยกลับทำรายได้ดี แต่หนังฮอลีวู้ดทำรายได้ไม่ดีนัก
นายถกล บรรจงรักษ์ นักวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า MAJOR ในไตรมาส 4/67 คาดว่ากำไรปกติจะดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า แต่อาจจะต่ำกว่าหรือทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/66 แม้ภาพยนตร์ไทย “ธี่หยด 2” ทำรายได้ทะลุ 800 ล้านบาทแล้ว และยังมีภาพยนตร์ไทยอีกหลายเรื่องทำรายได้ดี แต่ภาพยนตร์ฮอลีวู้ดกลับฟอร์มตก เพราะหนังไทยได้รับกระแสตอบรับดีมาก และ MAJOR จับมือพาร์ทเนอร์ บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ [WORK] , BEC ร่วมทุนสร้างหนังไทยที่กระแสออกมาดี และทำให้มีมาร์จิ้นดีขึ้น
โดยคาดว่าทั้งปี 67 กำไรปกติของ MAJOR จะอยู่ที่ 669 ล้านบาท ลดลง 4%y-y แต่ในปี 68 เชื่อว่าน่าจะกลับมาเติบโต โดยคาดกำไรปกติที่ 802 ล้านบาท เติบโต 20% Y-Y
ส่วนปี 68 คาดว่าหนังฮอลีวูดจะฟื้นตัว เนื่องจากจะมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายจำนวนมาก เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินโฆษณาฟื้นตัวได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจ
บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ มีมุมมองเป็นเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ MAJOR ในช่วงไตรมาส 4/67 เช่นกัน ซึ่งมีปัจจัยหนุนทั้งจากกระแสภาพยนตร์ไทยที่กลับมาอีกครั้งจากการเข้าฉายของภาพยนตร์ “ธี่หยด 2” ในช่วงต้นไตรมาส 4/67 ที่ผ่านมาและทำรายได้ไปแล้วกว่า 800 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธ.ค.) และมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ที่จะทยอยเข้าฉายมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมต่อเนื่องทั้งภาพยนตร์ไทยอย่าง “วัยหนุ่ม 2544” และภาพยนตร์ฮอลีวูด อย่าง “Gladiator 2” และ “Moana 2” บวกกับช่วงไตรมาส 4/67 ที่เข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองช่วยเพิ่มจำนวนคนเข้าโรงภาพยนตร์
และการเติบโตจะต่อเนื่องไปยังปี 68 จากภาพยนตร์ไทยที่จะทยอยเข้าฉายตลอดทั้งปีเกือบ 60 เรื่องจากหลากหลาย Studio ที่จะได้ประโยชน์จากกระแสภาพยนตร์ไทยที่ดีและภาพยนตร์ฮอลีวูดที่จะทยอยเข้าฉายมากขึ้นกว่าปีก่อน ซึ่งบริษัทได้ประเมินว่าจำนวนตั๋วหนังฮอลีวูดในปี 68 จะเพิ่มขึ้นมาถึง 20 ล้านใบ จากราว 9.7 ล้านใบในปี 67 ส่วนตั๋วหนังไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 16.3 ล้านใบมาอยู่ที่ 20 ล้านใบ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอยู่ที่กระแสตอบรับภาพยนตร์ที่จะทยอยเข้าฉายต่อจากนี้
“เราประมาณการกำไรสุทธิปี 67 และ 68 ไว้ที่ 753.32 และ 948.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% และ 25.9% ตามลำดับ ประเมินมูลค่าปี 68 ที่ 19.50 บาท ด้วยวิธี DCF ด้วย WACC ที่ 8% และยังคง Terminal Growth ที่ 2% ยังคงคาแนะนำซื้อสะสมเนื่องจากราคายังมี Upside อยู่พอสมควร”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ม.ค. 68)
Tags: Consensus, MAJOR, SCOOP, หุ้นไทย, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป