CGS ให้กรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,660-1,690 จุด แนะเกาะติดงบ Q4/64 กลุ่มแบงก์

ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ประเมินกรอบ SET INDEX สัปดาห์นี้ที่ 1,660-1,690 จุด โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐรายงานยอดค้าปลีกประจำเดือน ธ.ค.64 ที่ -1.9%MoM ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะทรงตัว น่าจะทำให้ตลาดผ่อนคลายกับประเด็นเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม กลับพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 และ 10 ปี ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับแนวโน้มดอกเบี้ยที่ Bloomberg Consensus ยังให้โอกาสสูงราว 96% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.65

ทั้งนี้ แม้เรื่องของดอกเบี้ยจะเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน แต่ก็เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3-4 ครั้งในปีนี้ไปพอสมควรแล้ว

ด้านในประเทศเริ่มเข้าสู่การประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/64 คาดกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดจะรายงานในสัปดาห์นี้ (เพิ่มเติม KTC) จากสัปดาห์ก่อน TISCO รายงานกำไรสุทธิดีกว่าตลาดคาด 8% ใส้ในได้แรงหนุนจากค่าธรรมเนียมที่ขยายตัว โดยเฉพาะจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย, สำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนั้น แนวโน้มกำไรกลุ่มธนาคารที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ก็น่าจะสดใสคล้ายกับ TISCO

ประเมินกำไรกลุ่มแบงก์ไตรมาส 4/64 ภายใต้ที่ Coverage (BBL KBANK SCB TTB) 2.4 หมื่นล้านบาท (+12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -9% จากไตรมาสก่อนหน้า) สาเหตุของการลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามฤดูกาล แต่ขณะเดียวกันผลประกอบการไตรมาส 4/64 จะเป็นจุดต่ำสุดหนุน จากสินเชื่อที่จะเติบโตจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมที่จะดีขึ้น และค่าใช้จ่ายสำรองที่จะลดลงหลังจากได้ตั้งสูงไปก่อนหน้านี้ Top pick ได้แก่ BBL KBANK

ส่วนปัจจัยอื่นๆ สัปดาห์นี้ได้แก่ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศประจำเดือน ธ.ค.65 ในวันศุกร์ Bloomberg คาดมูลค่าส่งออกและนำเข้าขยายตัว 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากออกมาสูงกว่าคาดก็น่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนเป็นบวกมากยิ่งขึ้น

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะกลางสะสมได้เช่นเดิมแต่เน้นหุ้นที่ Laggard อาทิ (BEM BJC CPALL M MAJOR MINT SHR) ส่วนระยะสั้นเน้นหุ้นโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน (PTTEP) โรงกลั่น (BCP SPRC TOP) รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันยืนระดับสูงและค่าการกลั่นที่อยู่ระดับสูงเช่นกัน

TOP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 67 บาท) คาดกำไรปกติจะโตต่อเนื่องในปี 65 หลังฟื้นตัวขึ้นมาจากผลขาดทุนในปี 63 และมีผลประกอบการแข็งแกร่งในปี 64 หนุนจากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น และผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีที่มั่นคง และการรับรู้รายได้จากโครงการ CAP

DIF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 16.5 บาท) เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ ซื้อ กองทุนฯ จะได้รับรายได้ที่มั่นคงจากกลุ่ม TRUE ผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์และผู้เช่าหลักของกองทุนฯ ผ่านสัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งจะหนุนให้มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ขณะที่สัญญาระยะยาวมาพร้อมกับต้นทุนในการเลิกใช้บริการ (switching cost) ระดับสูงช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ม.ค. 65)

Tags: , , ,