บล.คันทรี่ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ประเมินสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทย (SET) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,650 จุด ตบอรับการเริ่มต้นเปิดประเทศ แม้จะยังไม่เห็นผลมากนัก
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมประกอบไปด้วย การปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) 23 จังหวัดเหลือ 7 จังหวัด, ปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 38 จังหวัดจากเดิม 30 จังหวัด โดย กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ไม่จำกัดเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ศูนย์การค้า ตลาดนัด ร้านสะดวกซื้อ เปิดได้ตามเวลาปกติ ส่วนร้านอาหารเปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. แต่ยังยกเว้นการดื่มแอลกอฮอล์ (ยกเว้นกรุงเทพฯ) เนื่องจากเป็นพื้นที่สีฟ้า (พื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว)
ขณะเดียวกันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมารัฐบาลได้เพิ่มประเทศที่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัวอีก 17 ประเทศรวมแล้วทั้งหมดเป็น 63 ประเทศ ทั้งนี้มองการเพิ่มจำนวนประเทศถือเป็นบวกเล็กน้อยต่อการลงทุน เนื่องจากได้เพิ่มประเทศที่คิดเป็นสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย 15 อันดับแรกเข้ามาอันได้แก่อินเดีย (5%), ลาว (4.6%) , เวียดนาม (2.7%) โดยอ้างอิงข้อมูลจากปี 19 (% = สัดส่วนของนักท่องเที่ยวประเทศนั้นๆต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด)
จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดมองหุ้น สนามบิน (AOT) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ร้านอาหาร (M) โรงแรม (CENTEL ERW MINT) รถไฟฟ้า (BTS BEM) รับประโยชน์
ส่วนการเปิดประเทศครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปีตั้งแต่ 1 พ.ย. 21 เป็นต้นไป ยังเชื่อว่าผลบวกต่อเศรษฐกิจ รวมถึงกำไรยังจำกัด เพราะขณะที่ยังไม่สามารถคาดหวังจำนวนการเดินทางมาได้มากนัก เนื่องจากจีนที่คิดเป็นสัดส่วนอันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังเดินทางออกนอกประเทศได้ลำบาก, การติดเชื้อต่อวันของประเทศไทยยังสูงหากเทียบกับประเทศใกล้เคียง อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย, วัคซีนเข็มแรกและเข็มสอง ครอบคลุมเพียง 59% และ 42% ของประชากร หากเทียบกับประเทศใกล้เคียง อาทิ เกาหลี (79%, 74%) ญี่ปุ่น (77%, 72%) มาเลเซีย (79%, 75%) แต่ดีกว่าอินโดนีเซีย (43%, 26%)
ปัจจัยสัปดาห์นี้ ได้แก่
- ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 2-3 พ.ย.นี้ จะรู้ผลทางการในเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย ตลาดคาดว่าเฟดจะประกาศแผนลดวงเงิน QE 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หากออกมาเป็นไปตามนี้ก็เชื่อว่าไม่มีผลอะไรมากต่อการลงทุน
- ประชุม OPEC+ ในวันที่ 4 พ.ย. ตลาดคาด OPEC+ จะเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรล / วัน หากออกมาคล้ายข้างต้นเชื่อว่าไม่มีผลมากต่อราคาน้ำมันดิบรวมถึง SET INDEX
- ตัวเลขเศรษฐกิจ PMI , แรงงานสหรัฐ
เชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะ “ทยอยสะสม” หุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3/64 จะเป็นจุดต่ำสุด และไตรมาส 4/64 จะเริ่มฟื้นตัวแต่สวนทางกับราคาหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นน้อย (CBG PTG SCGP) ส่วน Domestic Play หากจะทยอยสะสมให้เน้น Laggard อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) รถไฟฟ้า (BTS BEM) สื่อนอกบ้าน (PLANB VGI) สนามบิน (AOT) โรงภาพยนตร์ (MAJOR)
CBG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 159 บาท) คาดผลประกอบการไตรมาส 3/64 ที่ 655 ล้านบาท ต่ำที่สุดในรอบ 9 ไตรมาส กดดันจากยอดขายที่อ่อนตัวลงในทุกประเทศ ยกเว้นรายได้จัดจำหน่าย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนน้ำตาลและอลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อราคาหุ้นล่าสุดสะท้อนไปแล้วขณะที่ 4/64 คาดจะเห็นการฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า
SCGP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 72 บาท) คาดว่า ไตรมาส 3/64 เป็นจุดต่ำสุด และจะค่อยๆ ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป จากการคลายล็อกดาวน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเวียดนามแนวโน้มกำไรปี 65 ที่สดใส ด้วยแรงหนุนจากการรับรู้รายได้จาก Deltalab และการขยายตัวแบบ Organic
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ย. 64)
Tags: CGS, SET, คันทรี่ กรุ๊ป, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย, เปิดประเทศ