ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ (6 พ.ค.) ว่า CDC กำลังตรวจสอบกรณีที่มีเด็ก 109 รายเป็นโรคตับอักเสบรุนแรง ซึ่งรวมถึงเด็กที่เสียชีวิตแล้ว 5 ราย เพื่อลงความเห็นว่าเกิดจากสาเหตุใด ขณะที่ในเบื้องต้นเชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้ออะดีโนไวรัส
CDC เปิดเผยว่า เด็ก ๆ มากกว่า 90% ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ 14% ต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ โดยกรณีดังกล่าวเหล่านั้นเกิดขึ้นในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาใน 25 รัฐและเขตแดน โดยเด็กป่วยส่วนใหญ่นั้นหายดีและออกจากโรงพยาบาลแล้ว
โรคตับอักเสบเกิดจากการอักเสบของตับซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แต่ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็สามารถเป็นสาเหตุด้วยเช่นกัน และการเกิดโรคดังกล่าวในเด็กไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง
เด็กมากกว่าครึ่งได้รับการยืนยันว่าติดเชื้ออะดีโนไวรัส อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ CDC กล่าวว่า พวกเขายังไม่ทราบว่า อะดีโนไวรัสเป็นสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่
อะดีโนไวรัสเป็นไวรัสทั่วไปที่มักทำให้เกิดอาการไข้หวัดเล็กน้อยหรือมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือมีปัญหาในกระเพาะอาหารและลำไส้
ทั้งนี้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดรุนแรงในเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าโรคดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับการเจ็บป่วยในเด็กที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
“เรายังไม่รู้ว่าปัจจัยอื่น ๆ อาจมีบทบาทอย่างไร เช่น การสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ยารักษาโรค หรือการติดเชื้ออื่น ๆ ของเด็ก ๆ” ดร.เจย์ บัตเลอร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายโรคติดเชื้อที่ CDC กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์
ดร.บัตเลอร์กล่าวว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ใช่สาเหตุของการเจ็บป่วยดังกล่าว โดยเด็ก ๆ เหล่านั้นมีอายุเฉลี่ย 2 ปี ซึ่งหมายความว่าส่วนใหญ่ยังไม่อยู่ในเกณฑ์เข้ารับวัคซีน
CDC ยังคงตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องกับไวรัสโควิด-19 หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ดร.บัตเลอร์ระบุว่า เด็ก 9 รายแรกในรัฐแอละแบมาที่เป็นโรคตับอักเสบขั้นรุนแรงนั้น ไม่ได้เป็นโรคโควิดแต่อย่างใด
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า CDC ได้ออกประกาศเตือนด้านสุขภาพทั่วประเทศเมื่อปลายเดือนเม.ย.เกี่ยวกับกลุ่มผู้ป่วยตับอักเสบขั้นรุนแรงในเด็ก 9 คนในรัฐแอละแบมา ขณะที่องค์การอนามัยโลกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้ระบุถึงการพบโรคตับอักเสบรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุในเด็กอย่างน้อยใน 11 ประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ค. 65)
Tags: CDC, สหรัฐ, โรคตับอักเสบ