BTG ทุ่มงบ 100 ล้านเปิดแคมเปญ S-Pure ดันเป้ายอดขายโต 17% ครองเบอร์ 1 ตลาดซุปเปอร์พรีเมี่ยม

นายโอลิเวอร์ ก็อตซัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บมจ.เบทาโกร (BTG) ระบุว่าจากข้อมูลคาดการณ์ตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมปี 66 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 57,100 ล้านบาทและมีอัตราโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6% ต่อไป บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ในการเป็นผู้นำตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมียม โดยเปิดตัวแคมเปญ S-Pure โดยใช้งบลงทุน 100 ล้านบาท เป็นเรือธงของ BTG ในปีนี้ ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมตั้งเป้าผลักดันยอดขายปีนี้เติบโต 17% เมื่อเทียบกับปี 65

ปัจจุบันการใช้จ่ายของผู้บริโภคซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีแรงหนุนจากการขยายตัวเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น นอกจากนี้พฤติกรรมผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และเลือกอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยสูงมากขึ้น การเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ของ S-Pure ซึ่งมุ่งเจาะกลุ่มคนดังกล่าว เพื่อตอกย้ำการเป็นอันดับ 1 ในตลาดอาหารพรีเมียม โดยขณะนี้ผลิตภัณฑ์ S-Pure มีส่วนแบ่งการมากกว่า 50% ซึ่งมีคู่แข่งการตลาดประมาณ 3-4 ราย

นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “S-Pure Prime” เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมด ประกอบด้วย ไส้กรอกเวียนนา, เบคอนหมูรมควัน, พอร์คลอยน์แฮมรมควัน, โบโลญ่าหมู และโบโลญ่าไก่ ที่ถูกรังสรรค์ความอร่อยจากธรรมชาติอย่างพิถีพิถัน ปราศจากการแต่งเติมสารเคมี รวมถึงสารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส วัตถุเจือปนอาหาร และยังใช้ช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู เนื้อไก่ S-Pure 100% นับเป็นผลิตภัณฑ์ “อาหารฉลากสะอาด (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย” อีกด้วย

ที่สำคัญ S-Pure ยังเป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษ (Paper Tray) มาใช้กับกลุ่มสินค้าอาหารสด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งถาดกระดาษผลิตจากต้นยูคาลิปตัสที่มาจากป่าปลูก 100% มีคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าถาดพลาสติก (Forest Stewardship Council) สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 80% พร้อมดีไซน์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัย สะท้อนถึงการเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สดใหม่ มีความปลอดภัย ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษแล้วเกือบ 70% แต่ยังมีบางผลิตภัณฑ์ที่ยังใช้พลาสติกอยู่เนื่องจากข้อจำกัดบางสินค้า ซึ่งอยู่ในระหว่างศึกษา โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี ผลิตภัณฑ์ S-Pure จะใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน 100%

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ S-Pure มีวางจำหน่ายร้านค้า ซุปเปอร์ชั้นนำในประเทศไทย และส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ไปที่สิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งบริษัทเป็นรายแรกในไทยที่ส่งออกอาหารสดไปที่สิงคโปร์ได้ และในอนาคตมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจา

“เบทาโกรมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและผู้บริโภคทุกกลุ่มในวงกว้าง เราภูมิใจที่ S-Pure ได้รับการรับรองจาก NSF สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกและหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA) ครบทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ และจากผลวิจัยผู้บริโภค พบว่า S-Pure เป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีฐานผู้บริโภคที่มีความภักดีในตราสินค้า (Brand Loyalty) มากกว่า 50% (Quality advocacy Index) สะท้อนถึงการเป็นผู้นำตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมที่ผู้บริโภคไว้วางใจอีกด้วย”

นอกจากนี้ ในแคมเปญการตลาดยังมีกิจกรรม “S-Pure The Natural Way” ที่พร้อมยกขบวนศิลปินดาราชื่อดังมาแชร์เคล็ดลับการดูแลสุขภาพและสาธิตการทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมพริวิเลจ พิเศษ! สำหรับลูกค้า S-Pure เร็ว ๆ นี้ การเปิดตัวแคมเปญ S-Pure ในครั้งนี้จึงไม่เพียงตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยม ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนดำเนินชีวิต ด้วยการดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ (Healthy Lifestyle Inspiration) เพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ยั่งยืน ตอกย้ำจุดแข็งของ เบทาโกรในฐานะผู้ผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด

“เราคาดว่ายอดขาย S-Pure จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันยอดขายของเบทาโกรให้เติบโตตามเป้าหมายเพื่อก้าวสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับโลกต่อไป” นายโอลิเวอร์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ค. 66)

Tags: , , ,