นายพิริยดิส ชูพึ่งอาตม์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักการเงินและการบัญชี บมจ.บีอีซีเวิลด์ (BEC) คาดปี 64 พลิกมีกำไรจากปีก่อนที่มีผลขาดทุน 214.3 ล้านบาท หลังจากเริ่มเห็นการเทิร์นอะราวด์ตั้งแต่ไตรมาส 3/63 และมีกำไรต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1/64
ทั้งนี้ รายได้จากการขายโฆษณา ซึ่งเป็นรายได้หลัก คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนมีรายได้ 4,757.7 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้ธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ (Global Content Licensing:GCL) ในปีนี้ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้ว 60% จากปีก่อนมีรายได้ 408.5 ล้านบาท และรายได้จาก CH3 PLUS Digital Platform ปีนี้ที่ 500 ล้านบาท จากปีก่อน 429.1 ล้านบาท โดยรายได้ GCL และ CH3 PLUS ในปีนี้คาดว่าจะได้ 1,000 ล้านบาท และอนาคตจะปรับเพิ่มสัดส่วนเป็นกว่า 20% ของรายได้รวม
“ปีนี้เรามองเป็นบวกกว่าปีที่แล้วอย่างน้อยกว่า10% แต่ตรงนี้เป็นเป้าหมาย ยังมีสิ่งที่ต้องปรับตัวกับผลกระทบจากโควิด รอบที่ 3… เราค่อนข้างมั่นใจว่าปีนี้เป็นบวก ตั้งแต่ที่เราเทิร์นอะราวด์เราก็วิ่งไปข้างหน้าและก็เติบโตแข็งแรงขึ้น โดยในครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะขาย Content ไปต่างประเทศมากกว่าครึ่งปีแรก และหากมีการกระจายฉีดวัคซีนได้มากผลกระทบโควิดก็จะจำกัด และเชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่อง”
นายพิริยดิส กล่าว
นายพิริยดิส กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางธุรกิจในปีนี้ BEC ยังเน้นเพิ่มรายได้จากช่วง Prime-Time โดยปีนี้จะมีละครใหม่ค่อนข้างมาก จากปีก่อนที่ส่วนใหญ่เป็นละครรีรัน และช่วง Non Prime-Time ก็เพิ่มขึ้นเช่นกันโดยเฉพาะช่วงรายการข่าว ซึ่งจะมีการปรับรูปแบบรายการ รวมถึงรายการที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กลับมาเป็นผู้ดำเนินรายการข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ด้วย ทำให้ยอดขายโฆษณาในรายการข่าวและจำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนรายการข่าวเพื่อดึงฐานลูกค้า โดยรายการ”เรื่องเล่าเช้านี้”ได้ขยายเวลาอีก 25 นาที ส่วน”เรื่องเด่นเย็นนี้”ย้ายไปช่วง Early Prime-Time เพื่อเจาะกลุ่มฐานลูกค้าในช่วงเย็น ส่วนรายการเสาร์อาทิตย์ก็ได้มีการเปลี่ยนผังรายการให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
ในส่วนธุรกิจ GCL ในปีนี้จะมีการขยายตัวต่อเนื่องจากการนำลิขสิทธิ์ละครและรายการไปขายในประเทศที่มีกำลังซื้อมากขึ้น อาทิ อเมริกา ยุโรป แอฟริกาใต้ จากเดิมที่เน้นขายในเอเชีย โดยเฉพาะจีน และอินโดจีน หลังจากปีที่ผ่านมาได้ขยายตลาดไปที่เกาหลีและญี่ปุ่นที่มีกำลังซื้อสูง
ส่วน Platform Online หรือ CH 3+ มีฐานลูกค้าอีกกลุ่มที่มีอายุน้อยลงเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ที่ไม่ต้องการดูรายการทีวี ก็มีแผนขยายฐานเช่นเดียวกัน รวมถึงการเพิ่มจำนวนสมาชิก โดยปัจจุบันมียอดผู้เช้าชมต่อเดือน (Monthly Active User:MAU) เติบโตกว่า 200% ในปัจจุบัน เป็น 10 ล้านคนต่อเดือน จากเดือน มี.ค.63 ที่มียอดผู้ชม 3 ล้านคน/เดือน และมียอดสมาชิก 3 PLUS เป็น 1.8 ล้านคน จากช่วงเริ่มต้นในไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 15,000 คน
CH3PLUS ยังเป็นช่องทางโปรโมทศิลปินดาราสังกัดช่อง 3 และในอนาคตจะมีสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับดาราของช่อง 3 ออกมาเสนอขายด้วยก็จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ขณะที่ช่อง 3 ได้มีการขายคอนเทนท์ให้กับ Platform เจ้าอื่นอีกหลายราย รวมถึง Netflix และเปิดโอกาสให้มีการผลิตร่วมกัน ส่วนการขายละครไปต่างประเทศปีละ 20-30 เรื่อง ส่วนใหญ่ช่อง 3 เป็นผู้ขายเอง
“ทั้งหมดนี้ เป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ Single Content Multiple Platform โดยกลุ่มเป้าหมายบนทีวีเป็นกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไปในกรุงเทพและหัวเมือง ส่วนที่ผ่าน Platform ต่างๆ อาทิ CH 3PLUS , Facebook,Youtube เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจับมือกับพันธมิตรต่างประเทศต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเพิ่งได้แนะนำละครไทยของช่อง 3 ในตลาดญี่ปุ่น”
นายพิริยดิส กล่าว
นายพิริยดิส กล่าวว่า ปัจจุบันฐานะการเงินของ BEC แข็งแรง หลังจากที่ได้ปรับลดต้นทุน มีการปรับโครงสร้างองค์กรเล็กลง และปลายปีที่แล้วขายบีอีซี-เทโร ออกไป ส่วนงบลงทุนปี 64 ยังไม่มากนัก แต่ปีข้างหน้า ต่อไปมีการขยายธุกิจก็จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นและรายได้เพิ่มตามการลงทุน
สำหรับสถานการณ์โควิดในไตรมาส 2/64 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาไม่มากนัก ขณะที่ BEC ก็ยังมีคอนเทนท์แข็งแรง บริษัทค่อนข้างมั่นใจน่าจะดึงเม็ดเงินโฆษณาจากช่องอื่นและการขายคอนเทนท์ไปต่างประเทศในครึ่งปีหลังน่าจะขายได้มากกว่าครึ่งปีแรก นอกจากนี้ หลังจากนายสรยุทธ์ กลับมาจัดรายการข่าว”เรื่องเล่าเช้านี้”เรตติ้งเพิ่มขึ้นมา 70-80% จากก่อนหน้ามีเรตติ้ง 30-40% รวมทั้งได้ขยายเวลาเพิ่ม 25 นาที ซึ่งน่าจะรอดู 1-2 เดือนก่อนจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 มิ.ย. 64)
Tags: BEC, CH3PLUS, ขายลิขสิทธิ์, ขายโฆษณา, บีอีซีเวิลด์, พิริยดิส ชูพึ่งอาตม์, รายการข่าว, ละคร, สรยุทธ สุทัศนะจินดา, หุ้นไทย, เรื่องเล่าเช้านี้