นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) เปิดเผยว่า ในปี 67 บริษัทฯ คาดยอดขายจะพุ่งทำสถิติสูงสุด (All Time High) โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 30% จากธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพมีความต้องการเพิ่มขึ้น สนับสนุนปริมาณการจำหน่ายมากขึ้น รวมทั้ง เริ่มเดินหน้าธุรกิจใหม่ มุ่งเน้นสู่นวัตกรรมสีเขียว นำไบโอเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนรับเทรนด์อนาคต
ในปี 66 BBGI สามารถสร้างรายได้เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า ยอดขายไตรมาส 4 ทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยธุรกิจไบโอดีเซล โรงงานมีการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) ทั้งปีอยู่ในระดับ 84% ซึ่งสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 47% ด้านธุรกิจเอทานอล โรงงานมีการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) ทั้งปีในระดับ 59% ใกล้เคียงอุตสาหกรรม ได้อานิสงส์ความต้องการที่เพิ่มขึ้น จากการที่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เข้าซื้อหลักทรัพย์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC และจะเข้ามารับรู้ในปีนี้เต็มปี อีกทั้งปัจจัยบวกจากภาคการขนส่ง และการท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด มาตรการภาครัฐสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยว และการใช้น้ำมันที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งมากขึ้น สนับสนุนความต้องการทั้งไบโอเอทานอลและไบโอดีเซลมีความต้องการมากกว่ากำลังการผลิต และปัจจุบันใช้กำลังการผลิตไบโอดีเซลปรับสูงขึ้นไปแตะระดับ 100% เรียบร้อยแล้ว
สำหรับความคืบหน้า 2 ธุรกิจใหม่ ที่ BBGI เข้าไปร่วมทุนกับพันธมิตร เดินหน้านำนวัตกรรมเข้ามาต่อยอดเป็น High Value Product เตรียมพร้อมสำหรับความต้องการตลาดโลกในระยะอันสั้นนี้ ประกอบด้วย
ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF สอดรับนโยบายดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายหลัก พร้อมด้วย บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) โดย BBGI ถือหุ้นในสัดส่วน 20% ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน ตั้งเป้าเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 1/68 เตรียมผลิตและจัดจำหน่าย SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้วเป็นรายแรกในประเทศไทย กำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 1,000,000 ลิตรต่อวัน เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากกว่า 80% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Net Zero GHG Emissions ในปี ค.ศ. 2050
นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (CDMO) โดย BBGI ร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Fermbox Bio บริษัทผู้นำด้านการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ชีววิทยาสังเคราะห์ด้วยกระบวนการหมักแม่นยำขั้นสูง และก่อตั้งบริษัทร่วมทุน BBFB (BBGI Fermbox Bio) ซึ่งเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง(Precision Fermentation) เชิงพาณิชย์แห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดย BBGI เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 75% นับเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำไบโอเทคโนโลยีระดับภูมิภาค โดยอาศัยความรู้ทางด้านเทคโนโลยีต่อยอดจากประสบการณ์ของบีบีจีไอ และใช้ Know-how ผู้เชี่ยวชาญที่มีน้อยรายในปัจจุบัน โดยระยะแรกจะผลิตเอนไซม์ และขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) ที่ล้ำสมัยอื่นๆ ต่อไป
ในเฟสแรกโรงงานมีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ 2,000 ตันต่อปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดแล้วเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มผลิตช่วงต้นปี 2568 พร้อมขยายเป็นเฟสต่อเนื่องด้วยจุดแข็งคือ การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง จะทำให้เราเติบโตในธุรกิจนี้ได้ และมีตลาดรองรับ พร้อมส่งออกไปจำหน่ายภายในภูมิภาค
ทั้งนี้ ในปี 2566 BBGI มีรายได้ 13,757 ล้านบาท EBITDA 667 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% และ เฉพาะไตรมาส 4 ทำกำไรสุทธิได้ถึง 79 ล้านบาท ทำให้งบตลอดทั้งปีพลิกเป็นบวก มีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 67)
Tags: BBGI, กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์, บีบีจีไอ, หุ้นไทย