บมจ.บี จิสติกส์ [B] แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงินปี 2567 หลังจากผลประกอบการพลิกเป็นขาดทุนราว 53.47 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีผลกำไร 202.46 ล้านบาท
สาเหตุที่รายได้จากการให้บริการปี 2567 รายได้ลดลง 60.80 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 49.88 จากปี 2566 เนื่องจากบริษัทขายรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง ได้แก่ รถลากจูง จำนวน 66 คัน, รถกึ่งพ่วง จำนวน 74 คัน ในราคาขายไม่ต่ำกว่า 55,205,000.00 บาท ส่งผลให้ครึ่งปีหลังบริษัทไม่มีรายได้จากการขนส่งรถลากจูงและรถกึ่งพ่วงของบริษัท จึงให้รายได้บริการลดลงจำนวนมาก
ประกอบกับ ผลประกอบการและการดำเนินการต่อบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจน้ำ 2 บริษัท ที่ทำให้ B ต้องรับรู้การด้อยค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน 82 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการไม่สามารถส่งมอบน้ำได้ตามสัญญา เนื่องจากน้ำมีปริมาณแอมโมเนียมากเกินกว่ามาตราฐานที่ผู้ซื้อกำหนด ซึ่งปัจจุบัน B ยังไม่สามารถบำบัดน้ำให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการเจรจาอย่างไม้เป็นทางการเพื่อปรับสัญญาซื้อขายน้ำดิบ ให้อยู่ในปริมาณและคุณภาพตามที่กลุ่มบริษัทน้ำจะสามารถส่งน้ำได้ โดยที่ไม่มีค่าปรับเกิดขึ้นในอนาคต คาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากบริษัทผู้ซื้ออย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคม 2568
ฝ่ายจัดการได้เข้าเจรจากับบริษัทคู่สัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนสัญญาซื้อขายน้ำดิบ ในเรื่องการจัดส่งปริมาณน้ำขั้นต่ำในแต่ละไตรมาสให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำในบ่อ และรวมถึงการเข้าเจรจาเรื่องอัตราค่าปรับที่สูงเกินกว่ารายได้ต่อหน่วยที่บริษัทได้รับ ซึ่งทางบริษัทคู่สัญญาจะนำเรื่องการปรับเปลี่ยนสัญญาดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทคู่สัญญา ภายในเดือนมีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาทบทวนเงื่อนไขในสัญญาตามที่ได้หารือ
ถึงแม้ว่าปัจจุบันคุณภาพน้ำดิบที่ถูกปนเปื้อนจากการทำอุตสาหกรรม หรือเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ ทำให้คุณภาพน้ำดิบไม่ผ่านเกณฑ์ตามสัญญา แต่เทพฤทธาได้พยายามแก้ไขปัญหามาโดยตลอด โดยหลากหลายวิธี เช่น ซื้อน้ำจากแหล่งอื่นมาผสม, ผันน้ำไปผสมกับบ่อน้ำที่มีอยู่, ใส่จุลินทรีย์เพื่อบำบัดน้ำในบ่อ, เติมอากาศด้วยเครื่องเจ็ทเติมอากาศ , เติมอากาศด้วยกังหัน เพื่อให้ได้น้ำดิบที่มีคุณภาพเพื่อส่งให้กับบริษัทคู่สัญญาได้นั้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับปริมาณที่ตกลงกันในสัญญา และมีต้นทุนที่สูง
ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการติดตามลูกหนี้ค่าใบ RECs จำนวน 273.81 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 3 มี.ค.68 โดยเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ทางบริษัท Green Energy Credit Pte, Ltd (GEC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เดอะเมกะวัตต์ จำกัด (บริษัทย่อยของ B) ได้ทำหนังสือทวงถามถึงยอดค้างชำระที่ใกล้จะถึงต่อบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ผู้ซื้อ RECs มูลค่า 273.81 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 เวฟ บีซีจี ได้ทำหนังสือขอเลื่อนการชำระเงินไปเป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงความล้าช้าในการอนุมัติโครงการโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนในใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC Token) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) แต่อย่างไรก็ตาม เวฟ บีซีจี มีเงินค้ำประกัน จำนวน 65 ล้านบาทไว้กับ เดอะ เมกะวัตต์
ส่วนการชำระหนี้หุ้นกู้ระยะสั้นที่ครบกำหนดวันที่ 24 มี.ค. 2568 จำนวน 50 ล้านบาท และหุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดในเดือน พ.ค. 2568 จำนวน 92 ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น 142 ล้านบาท ทางบริษัทจะชำระหุ้นกู้ได้ตามกำหนดเวลาเมื่อครบกำหนด จากการรับชำระเงินจากลูกหนี้การค้ารวมถึงเงินให้กู้ยืมของบริษัทฯ (ที่ผ่านมาเงินกู้ยืมระยะสั้น 50 ล้านบาท บริษัทฯชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยครบกำหนดมาตลอด)
ขณะที่ หุ้นกู้ระยะสั้นที่จะครบกำหนดวันที่ 24 มี.ค. 2568 จำนวน 50 ล้านบาท บริษัทได้เตรียมเงินเพื่อชำระหุ้นกู้ดังกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 มี.ค. 68)
Tags: B, บี จิสติกส์, หุ้นไทย