“นี่เรากำลังหลอกลวงโลกอยู่รึเปล่า?” บางคนอาจมีคำถามที่ผุดขึ้นมาเวลาได้ยินเรื่อง “Carbon Credit” เทรนด์รักษ์โลก ที่หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่ เชื่อถือได้มากแค่ไหน และจะสามารถเซฟโลกได้จริงหรือไม่ แล้วทำไมอยู่มาวันนึงเราจะต้องลุกขึ้นมาซื้อ Carbon Credit?
วันนี้ “All About ESG” ชวนมาคุยกับกูรูพลังงานอย่าง ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะมาเฉลยว่าแท้จริงแล้ว Carbon Credit คืออะไร ถ้าไม่มีแล้วธุรกิจจะเจ๊งมั้ย และทำไมถึงเป็นสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนโลกธุรกิจไปตลอดกาล !?
นิยามที่แท้จริงของ Carbon Credit คือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปัจจุบันสิทธินี้กำลังถูกจำกัดและมีราคาสูงขึ้น เพราะปัจจุบันเรากำลังจะมีกฎหมายที่บอกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นมีราคาแพง หรือปล่อยแล้วอาจจะกำลังทำผิดกฎหมาย
“คืออยู่ดี ๆ เราจะไปซื้อสิทธิการปล่อยทำไม หรือถ้าไม่มีสิทธินี้แล้ว ชีวิตเราจะยุ่งยากอะไรขึ้นมา ก็ต้องบอกว่าตอนนี้ รัฐอาจมีมาตรการมาจำกัดสิทธิการปล่อย ดังนั้น เมื่อคุณปล่อยไม่ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คุณก็จะต้องซื้อสิทธิการปล่อยมา” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว
หากมองในโลกธุรกิจ ถ้าเราไม่ซื้อสิทธินี้ เราอาจจะเสียลูกค้า เราจะอยากซื้อมั้ย ? แต่ในวันนี้ฝั่งผู้ผลิตไม่สามารถดีดนิ้วแล้วเลิกปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เลยทันที ดังนั้นจึงต้องซื้อสิทธิการปล่อยเพื่อเป็นการบอกกับคนซื้อสินค้าว่าสินค้าที่ส่งให้ไม่ได้ทำลายโลก ผ่านการมีสิทธิในการปล่อยคาร์บอนนั่นเอง
Carbon Credit กับ Carbon Footprint เป็นคนละอย่างกัน แต่มีความสัมพันธ์กัน โดย Carbon Credit เป็นทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ทำให้สามารถปล่อยคาร์บอนได้เท่าไหร่ ส่วน Carbon Footprint คือข้อมูลที่บอกว่าปล่อยคาร์บอนไปเท่าไร เป็นการตรวจวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เป็นการตรวจที่เป็นกิจจะลักษณะ มีการทวนสอบ และมีความน่าเชื่อถือ
“เปรียบง่าย ๆ คือก่อนที่เราจะรับยา รับการรักษา เราต้องตรวจสุขภาพก่อน เพื่อให้รู้ว่าเรามีปัญหาตรงไหน ซึ่งก็คือ Carbon Footprint แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเรารู้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนแล้ว เราจะซื้อ Carbon Credit มาแก้ปัญหาอย่างเดียว เราเองก็ต้องหาทางลดปริมาณการปล่อยลงด้วย เพราะถ้าเน้นแต่การซื้อ Carbon Credit สุดท้ายก็ทำลายโลกอยู่ดี” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว
อยู่ดี ๆ เราจะซื้อ Carbon Credit ทำไม หากลองคิดตาม แปลว่ามันจะต้องมี Demand อยู่ ซึ่งความต้องการซื้อเกิดในกลุ่มคนที่ถูกกฎหมายควบคุม เช่น บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก ๆ ซึ่งสาเหตุที่รัฐต้องมาควบคุมคนเหล่านี้ เพราะไม่อย่างนั้นภาครัฐก็จะไม่บรรลุข้อตกลงที่ทำไว้ใน Paris Agreement
แต่บางคนก็อาจจตั้งคำถามว่า “นี่เรากำลังหลอกลวงโลกอยู่หรือเปล่า ?” เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ดี คำว่าสิทธิการปล่อยคาร์บอนที่สร้างขึ้น มีหลักการยังไง ซึ่งคอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้มันง่ายมากก็คือเราต้องทำความดีจริง ๆ
“หมายความว่า ถ้ามีกิจกรรมนี้ โลกจะเย็นขึ้นเท่าไหร่ เช่น กิจกรรมปลูกป่าให้มีต้นไม้เยอะขึ้น หรือการติดแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิล ซึ่งทั้งสองกิจกรรมจะเห็นได้ว่าทำแล้วโลกเย็นขึ้น นับเป็นกิจกรรมที่มีแต้มบวก ซึ่งแต้มบวกตรงนี้ก็ถูกแปลงให้เป็น Credit นำมาขายให้กับคนที่ถูกจำกัดสิทธิการปล่อย ที่ต้องล้างสิทธิด้วย Credit นี้ เพราะตัวเองยังไม่สามารถดีดนิ้วแล้วลดการปล่อยได้ทันที” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว
“Carbon Credit ถ้าจะไม่ปลอมก็ต้องถูกรับรอง” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว และระบุว่า หากเราเอาโครงการที่ทำไปให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO รับรอง เมื่อถูกรับรองแล้วว่ากิจกรรมดังกล่าวบวกเท่าไหร่ สมมติว่า บวก 10 หน่วย ก็จะถูกบันทึกเอาไว้ในบัญชีซึ่งเป็นฐานข้อมูลใหญ่ที่จะรู้ว่าใครทำบุญทำบาปอะไรไว้เท่าไหร่
ดังนั้น การซื้อขาย Carbon Credit ก็จะทำผ่าน Data Base นี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ จังหวะที่ใช้แต้มนี้ไปแล้ว จะต้องถูกถอนออกไปจากระบบ ก็เหมือนกับการกดเงิน 500 บาทจากบัญชีแล้วก็ไม่ควรถูกใช้ซ้ำ ไม่งั้นก็กดได้เรื่อย ๆ และตอนนี้ก็น่าจะใกล้เห็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขาย Carbon Credit ใน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรัฐก็จะเข้ามาดูแลตลาดตรงนี้
สำหรับผู้ประกอบการที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างยั่งยืน แนวทางอย่างแรกเลย คือต้องรู้ตัวเองก่อนว่าปล่อยไปเท่าไหร่ และต้องเริ่มทำ Carbon Footprint ก่อน ขณะเดียวกันการลดการปล่อยคาร์บอน ก็เป็นโอกาสทางธุรกิจได้เช่นกัน เช่น หากติดแผงโซลาร์จำนวนมาก ก็อาจนำ Credit ตรงนี้ไปขายได้
“ในกรณีที่บางท่านอาจจะยังไม่อยากเริ่มทำตรงนี้ อยากให้ลองคิดว่าวันข้างหน้า ถ้าลูกค้าจะเลิกซื้อสินค้าเราเพราะเราไม่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตรงนี้จะเริ่มรู้สึกว่า มันคือจุดเริ่มต้นของเราแล้วหรือยัง” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 มี.ค. 68)
Tags: All About ESG, Carbon Credit, ESG, SCOOP, ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ