นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) เปิดเผยว่า กองทรัสต์ AIMIRT เดินหน้าเพิ่มทุนครั้งที่ 2 เพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกรรมสิทธิ์อาคารคลังสินค้า 12 ยูนิต และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้าระยะเวลา 30 ปี จำนวน 4 ยูนิต รวมมูลค่าไม่เกิน 2.28 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนไม่เกิน 172,268,908 หน่วย เป็นมูลค่าไม่เกิน 1.98 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินราว 300-600 ล้านบาท
ภายหลังการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ AIMIRT เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบัน 7.5 พันล้านบาท โดยกองทรัสต์ AIMIRT ยังคงมุ่งเน้นคัดเลือกทรัพย์สินในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างรายได้และสามารถจ่ายผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างต่อเนื่อง และได้จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอทุกไตรมาสรวมกว่า 2.6010 บาท/หน่วย โดยไตรมาส 1/64 ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.2200 บาท/น่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสที่สูงที่สุดและเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสอย่างต่อเนื่อง
นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวต่อว่า จุดเด่นของกองทรัสต์ AIMIRT คือ การผสมผสานการลงทุนในทรัพย์สินประเภทอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งอาคารคลังสินค้า อาคารโรงงาน อาคารคลังห้องเย็น และถังเก็บสารเคมีเหลว และทำเลที่ตั้งของทรัพย์สินที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญด้านการผลิตและโลจิสติกส์ของประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมปลายทางของผู้เช่ามีความหลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวแค่อุตสาหกรรมกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ปัจจุบันกองทรัสต์มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้นกว่า 151,026 ตารางเมตร และมีความจุของถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่ารวม 85,580 กิโลลิตร โดยทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ต่อเนื่องมาโดยตลอด
ส่วนการลงทุนใหม่ในทรัพย์สินใหม่ 3 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้น 117,338 ตารางเมตร ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้าจำนวน 8 ยูนิต ของโครงการทิพย์ 5 และโครงการทิพย์ 8 (ส่วนลงทุนเพิ่มเติม) จังหวัดสมุทรปราการ จากกลุ่มบริษัท ทิพย์ โฮลดิ้ง จำกัด หรือกลุ่มทิพย์ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 35,774 ตารางเมตร ซึ่งกลุ่มทิพย์ ได้เป็นผู้ขายทรัพย์สินแก่กองทรัสต์ AIMIRT มาก่อนหน้านี้เป็นจำนวน 9 ยูนิต
กรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้า จำนวน 4 ยูนิต ของโครงการเอ็มเอส แวร์เฮ้าส์ จังหวัดสมุทรปราการ จากบริษัท ทู ไทเกอร์ พร็อพ จำกัด พื้นที่ให้เช่ารวม 43,481 ตารางเมตร และสิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปี ในอาคารคลังสินค้า จำนวน 4 ยูนิต ของโครงการไทยแทฟฟิต้า จังหวัดระยอง จากบริษัท ไทยแทฟฟิต้า จำกัด พื้นที่ให้เช่ารวม 38,083 ตารางเมตร โดยทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% และอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมการผลิตและขนส่งของประเทศ ซึ่งภายหลังเข้าลงทุนเพิ่มเติม จะมีพื้นที่ให้เช่ารวมเพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 268,364 ตารางเมตร และมีความจุของถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่ารวม 85,580 กิโลลิตร
นายธนาเดช โอภาสยานนท์ กรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ภายหลังกองทรัสต์ AIMIRT หลังเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม อ้างอิงข้อมูลจากประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ต่อหน่วย สำหรับงวด 12 เดือน ในช่วงเวลาประมาณการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 64 – 30 มิ.ย. 65 อยู่ที่ 0.8927 บาท/หน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 7.50% ต่อปี
ขณะที่ภายหลังการเข้าลงทุนเพิ่มเติมของกองทรัสต์จะมีโครงสร้างของประเภททรัพย์สินซึ่งมีความหลากหลายและกลุ่มผู้เช่าที่กระจายตัวอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากอาคารคลังสินค้าให้เช่า 49% ถังเก็บสารเคมีเหลว 31% อาคารคลังห้องเย็น 15% และอาคารโรงงาน 5% ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมนี้จะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผู้เช่าและอุตสาหกรรมปลายทางได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของกองทรัสต์ในรูปแบบกรรมสิทธิ์ (Freehold) เพิ่มเป็น 61% จากเดิมที่ 55%และในรูปแบบสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ลดลงมาอยู่ที่ 39% จากเดิมที่ 45%
นายกฤชกร นนทะนาคร ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย สายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หลังจากกองทรัสต์ AIMIRT ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 2 และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และได้รับการอนุมัติและมีผลใช้บังคับแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนแก่นักลงทุน โดยการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้จะมีมูลค่ารวมไม่เกิน 2.28 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนจำนวน ไม่เกิน 172,268,908 หน่วย มูลค่าไม่เกิน 1.98 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน 300-600 ล้านบาท
สำหรับการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 2 จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 172,268,908 หน่วย แบ่งเป็น การเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิม (Preferential Public Offering: PPO) ที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ (Record Date) ในวันที่ 21 มิ.ย. 64 ในสัดส่วน 80% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายในครั้งนี้ หรือ 137,815,126 หน่วย กำหนดอัตราส่วนใช้สิทธิ์จองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.3233 หน่วยทรัสต์ใหม่ เสนอขายในวันที่ 5-9 ก.ค. 64 ในเวลาทำการ ที่ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขาทั่วประเทศ
โดยการจองซื้อผ่านธนาคารกรุงไทย ผู้จองซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือผ่านระบบจองซื้อออนไลน์ ที่ https://moneyconnect.krungthai.com ได้อีกหนึ่งช่องทาง โดยผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมสามารถจองซื้อตามสิทธิ เกินกว่า น้อยกว่า หรือสละสิทธิไม่จองซื้อก็ได้
ส่วนการเสนอขายประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบัน บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 5-9 และ 12-13 ก.ค. 64 ในเวลาทำการที่ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขาทั่วประเทศ (สำหรับช่องทางการจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และระบบจองซื้อออนไลน์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด สามารถจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 5-13 ก.ค. 64)
สำหรับผู้จองซื้อทุกรายจะต้องชำระเงินจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ไม่เกิน 11.90 บาท/หน่วย และจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) วันที่ 14 ก.ค. 64 ภายหลังจากการสำรวจความต้องการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (Book building) โดยกรณีที่ราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์สุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายจะคืนเงินส่วนต่างแก่ผู้จองซื้อทุกราย และคาดว่าบริษัทจะนำหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนก.ค. 64
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 มิ.ย. 64)
Tags: AIMIRT, กฤชกร นนทะนาคร, กองทรัสต์, จรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ, ธนาเดช โอภาสยานนท์, หุ้นไทย, อมร จุฬาลักษณานุกูล, เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์