นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3 ของปี 2564 รายได้รวม อยู่ที่ 42,377 ล้านบาท เติบโต 1.6% เทียบกับปีก่อน ในส่วนกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ของปีนี้ อยู่ที่ 6,374 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เอไอเอสมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 3.3% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 130,995 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 20,059 ล้านบาท ลดลง 1.0% เทียบกับปีก่อน โดยผลการดำเนินงานแยกตามรายธุรกิจดังนี้
– ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีรายได้รอบ 9 เดือนลดลง 1.6% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 87,653 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบใหม่ ประกอบกับการแข่งขันที่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง สำหรับการเติบโตของผู้ใช้บริการ 5G หลังจากที่ได้ขยายเครือข่ายครบ 77 จังหวัด และมีความครอบคลุมกว่า 42% ของจำนวนประชากร
– ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีรายได้รอบ 9 เดือนเติบโตสูงที่ 20% เทียบกับปีก่อน ซึ่งในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นสุทธิ 133,000 ราย สูงที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส โดยปัจจุบัน AIS Fibre มีลูกค้ารวม 1,668,900 ราย และทะลุเป้าหมาย 1.6 ล้านครัวเรือน ณ สิ้นปีนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเรียนที่บ้าน (Learn from Home)
– ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร ยังคงแข็งแกร่งและมีรายได้รอบ 9 เดือนเติบโตได้ดีที่ 16% เทียบกับปีก่อน จากความต้องการใช้บริการโซลูชันต่างๆ ทั้ง Cloud, Cybersecurity และ ICT solution เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวบริการที่ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การทำงานร่วมกับ OMRON เปิดตัวโซลูชันใหม่ Industry 4.0 ภาคการผลิตอัจฉริยะ Smart Manufacturing เต็มรูปแบบ หรือแม้แต่การผนึกกำลังกับ AIS 5G ผนึกกำลัง Mitsubishi Electric และ ทีเคเค ส่งเทคโนโลยี Total Industrial Solution ด้วย e-F@ctory บนศักยภาพ 5G ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและโรงงานการผลิตในประเทศ และล่าสุดกับบริการด้าน Cyber Security ระดับโลกแบบครบวงจรสำหรับการใช้งานภายในองค์กรเพื่อตรวจจับและป้องกันภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ ผ่านการทำงานร่วมกับ Palo Alto Networks
นายสมชัย กล่าวว่า การทำงานของเอไอเอส ตลอดทั้ง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการนำศักยภาพขององค์กรทั้งโครงข่ายเทคโนโลยีและบริการด้านดิจิทัลในการวางโครงสร้างพื้นฐานให้มีความครอบคลุมและพร้อมให้บริการมากที่สุด เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อกับภาคส่วนต่างๆ ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริง ทำให้วันนี้ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิต หรือแม้แต่ภาคธุรกิจ สามารถใช้เครื่องมือด้านดิจิทัลมาเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขันได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น จนเกิดการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับฐานรากไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ
“เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเอไอเอส พยายามสร้างการเชื่อมต่อกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนไทยในทุกมิติ โดยในไตรมาสที่ผ่านมาเราได้บรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ ในการจัดตั้งบริษัทในชื่อ “เอไอเอสซีบี” (AISCB) เพื่อให้บริการด้านการเงินดิจิทัล เช่น บริการด้านสินเชื่อ และบริการทางการเงิน ที่ยังมีโอกาสและศักยภาพการเติบโตอีกมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านบริการดิจิทัลที่หลากหลายไร้ขีดจำกัด”
“เราเชื่อว่าโครงข่าย 5G ยังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้อีกมหาศาล สิ่งที่เอไอเอส ตั้งใจทำมาโดยตลอดหลังจากที่เราได้เปิดตัวการให้บริการ AIS 5G คือการนำประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่ามาให้คนไทยได้สัมผัสภายใต้เป้าหมายการเป็นผู้นำด้าน Digital Life Service Provider จนถึงวันนี้เรายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาศักยภาพของ 5G ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อให้ประเทศมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่แข็งแรง กลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมดิจิทัลที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก สามารถใช้เป็นจุดแข็งของประเทศในการดึงดูดนักลงทุนสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ หลังเปิดประเทศ” นายสมชัย กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ย. 64)
Tags: ADVANC, สมชัย เลิศสุทธิวงค์, หุ้นไทย, เอไอเอส, แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส