ศูนย์วิจจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในไตรมาส 1/66 แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศของไทย จะประคองสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่สถานการณ์สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบแบงก์ไทย) ยังคงมีภาพที่แตกต่าง เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากการทยอยชำระคืนสินเชื่อ ทั้งในส่วนของสินเชื่อภาครัฐและภาคเอกชน
โดยในไตรมาสแรก น่าจะมีการทยอยกลับมาจ่ายคืนหนี้ของกลุ่มลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน ประกอบกับภาพจากตลาดหุ้นกู้สะท้อนว่า ภาคธุรกิจมีการออกหุ้นกู้มากขึ้น เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินและนำเงินมาชำระคืนสินเชื่อในช่วงจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับตัวขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากแรงกดดันของการชำระคืนสินเชื่อและฐานเปรียบเทียบที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กรอบการเติบโตของสินเชื่อระบบแบงก์ไทยอาจชะลอลงมาที่ 1.9-2.3% YoY ในไตรมาส 1/66 (ค่ากลาง 2.0% YoY) จาก 2.7% YoY ในไตรมาส 4/65
แม้สินเชื่อจะเติบโตในกรอบชะลอลง แต่ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อยังคงขยับสูงขึ้น ตามการปรับขึ้นอัตรา เงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในไตรมาส 1/66 ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รวมทั้งสิ้น 2 ครั้ง
คือ 1) รอบต้นปี 2566 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR/MOR/MRR ประเภทละ 0.40% ตามการปรับอัตราเงินนำส่งเข้า FIDF กลับไปสู่ระดับปกติ และ 2) รอบตามหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 ม.ค. 66 โดยธนาคารส่วนใหญ่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR/MOR/MRR ประมาณ 0.20% 0.15% และ 0.10% ตามลำดับ ซึ่งน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ขยับขึ้น 0.25% ต่อปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 1/66 จะส่งผลหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) ให้ขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่กรอบประมาณ 3.05-3.17% จากระดับประมาณ 3.03% ในไตรมาส 4/65 ที่ผ่านมา เนื่องจากประเมินว่า สินเชื่อคงค้างประมาณ 67.5% ของพอร์ตสินเชื่อระบบแบงก์ไทย จะเข้าสู่ช่วงการปรับดอกเบี้ยในระหว่างไตรมาสที่ 1/2566
ขณะที่ในฝั่งเงินฝากนั้น ในช่วงไตรมาส 1/66 ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ ไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (CASA) ซึ่งมีสัดส่วนราว 73.0% ของพอร์ตเงินฝากรวมในระบบแบงก์ไทย โดยมีการปรับขึ้นเฉพาะในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนขึ้นไป และเงินฝากแคมเปญพิเศษเท่านั้น
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังประเมินว่า NIM ยังมีโอกาสขยับขึ้นไปอยู่สูงกว่าระดับ 3.20% ในไตรมาส 2/66 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังคงมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อ ตามรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. 29 มี.ค. 66 (ล่าสุด ณ 10 เม.ย. 66 มีแบงก์ไทยเพียง 2 แห่ง ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว) และน่าจะมีรอบการปรับดอกเบี้ยแบงก์อีกครั้ง หลังรอบการประชุม กนง. 31 พ.ค. 66
แม้รายได้จากธุรกิจหลักจะทยอยมีสัญญาณฟื้นตัว แต่แบงก์ยังคงต้องเฝ้าระวังปัญหาการไถลลงของคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิด เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อาจเพิ่มแรงกดดันต่อลูกหนี้บางกลุ่ม อาทิ ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก รวมไปถึงลูกหนี้ที่เพิ่งออกจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน
คงต้องยอมรับว่า สถานการณ์รายได้และกระแสรายรับของลูกหนี้ที่ยังอยู่ในช่วงแรกเริ่มของการฟื้นตัว และยังไม่กลับสู่ระดับปกติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการรองรับแรงกดดันจากการขยับสูงขึ้นของภาระต้นทุนทางการเงินของลูกหนี้กลุ่มนี้มีค่อนข้างจำกัด และทำให้สถาบันการเงินยังคงติดตามสถานการณ์ของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อการไถลลงของคุณภาพสินเชื่อในพอร์ต พร้อมกับต้องเร่งจัดการปัญหาคุณภาพของสินเชื่อผ่านแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ควบคู่กับการตัดขาย เพื่อประคองระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาพรวม
ดังนั้น แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วน NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมแบงก์ไทย 17 แห่งและสาขาธนาคารต่างชาติ 11 แห่ง) จะยังคงทรงตัวอยู่ที่กรอบ 2.70-2.75% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1566 ใกล้เคียงกับ 2.73% ในไตรมาส 4/65 ซึ่งก็จะส่งผลทำให้แม้ระดับสำรองฯ อาจชะลอลงบ้างจากที่สำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปลายปี 65 แต่ก็จะไม่ลดลงเร็วมากนัก
โดยคาดว่า สัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อหรือ Credit Cost อาจจะขยับลงมาได้บ้าง มาอยู่ที่กรอบ 1.17-1.25% ในไตรมาส 1/66 หลังจากที่ขยับขึ้นไปแตะ 1.46% ในไตรมาส 4/65 จากผลของการเร่งสำรองฯ ของธนาคารพาณิชย์บางแห่งเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจจัยกสิกรไทย คาดว่า กำไรสุทธิของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 1/66 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 5.45-5.70 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) อาจขยับขึ้นไปที่กรอบ 1.00-1.05% สูงขึ้นเมื่อเทียบกับระดับ ROA ที่ 0.89% ในไตรมาส 4/65 แต่ก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ ROA ที่ประมาณ 1.20% ในช่วง 5 ปีก่อนวิกฤตโควิด-19
สะท้อนว่า ภาพรวมของธุรกิจแบงก์ในช่วงต้นปี 66 ยังเป็นการฟื้นตัวแบบระมัดระวัง เพราะแม้รายได้จากธุรกิจหลักจะทยอยมีภาพที่ดีขึ้น ทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ (รายได้ดอกเบี้ย มีแรงหนุนจากการขยับสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อสอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมฯ บางส่วน
อาทิ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต และบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ ทยอยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเปิดประเทศ) แต่ความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงฟื้นตัวบนความเสี่ยงหลายด้าน อาจทำให้สถาบันการเงินยังคงต้องตั้งสำรองฯ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง
ดังนั้น แม้ระดับสำรองฯ อาจทยอยปรับลงมาได้บ้างจากที่สำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในช่วงปลายปี 2565 แต่ก็จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก และสถาบันการเงินยังคงต้องดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง และ/หรือกลุ่มที่ทยอยออกจากมาตรการช่วยเหลือ ควบคู่กับการเร่งจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในระยะข้างหน้า คงต้องติดตามแนวทางการเข้ามาดูแลโครงสร้างค่าธรรมเนียมของทางการ เพื่อดูแลและสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยาก และทำให้แบงก์คงต้องเตรียมปรับตัว เพื่อรับมือกับแนวโน้มที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ อาจมีกรอบการเติบโตที่ค่อนข้างจำกัดในอนาคต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 เม.ย. 66)
Tags: ดอกเบี้ย, ศูนย์วิจจัยกสิกรไทย, หนี้เสีย