นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบนโยบายและแนวทางในการพัฒนาการสหกรณ์ ระยะ 5 ปี (66 – 70) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง และเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ประกอบด้วย 6 นโยบายย่อย สรุปได้ ดังนี้
1. พัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการในสหกรณ์สู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะด้านเทคโนโลยี และสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ในสหกรณ์
2. ส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กรและดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ เช่น จัดหาและสนับสนุนระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเภทสหกรณ์ และพัฒนาหลักสูตรการวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ สำหรับบุคลากรสหกรณ์
3. ยกระดับศักยภาพและสมรรถนะการดำเนินธุรกิจตามลักษณะธุรกิจและประเภทของสหกรณ์ เช่น
– ธุรกิจด้านการเกษตร สนับสนุนองค์ความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพและความหลากหลาย ของสินค้าเกษตร
– ธุรกิจด้านการเงิน สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการเงิน สหกรณ์ ประเภทออมทรัพย์ และเครดิตยูเนี่ยน
– ธุรกิจด้านการบริการ พัฒนาแพลตฟอร์ม และช่องทางการบริการสาหรับการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสม
4. สร้างการเชื่อมโยงและร่วมมือกันทางธุรกิจและสังคม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น ออกแบบโครงสร้างขบวนการสหกรณ์ให้มีความเชื่อมโยงด้านธุรกิจ และการร่วมมือในการพัฒนาสหกรณ์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม และควบรวมสหกรณ์ หรือกลุ่มเกษตรกร เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่ดี
5. สร้างธรรมาภิบาลในขบวนการสหกรณ์ เช่น สนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ที่เน้นเรื่องการบริหารจัดการที่ดี และสร้างนวัตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเชิงรุก ในสหกรณ์โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
6. ปรับโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ขบวนการสหกรณ์และภาครัฐ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ศึกษา วิจัย และพัฒนาเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคตของสหกรณแต่ละประเภท ในด้านการบริหารจัดการ การดำเนินธุรกิจและการลงทุน
สำหรับสถานการณ์ทั่วไปของสหกรณ์ของไทย มีจำนวน 7,520 แห่ง และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ พบว่ามีปริมาณธุรกิจด้านการให้เงินกู้มากที่สุด ส่วนชุมนุมสหกรณ์มีจำนวน 135 แห่ง ซึ่งมีแนวโน้มแนวโน้มลดลงเช่นกัน โดยมีสัดส่วนปริมาณธุรกิจในการให้บริการรับฝากสูงสุด
“จากสถานการณ์ทั่วไป และสภาพเศรษฐกิจหลังการฟื้นตัวจากโควิด-19 พบว่า สหกรณ์ต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจหดตัว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนาสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการเร่งแก้ปัญหาในกรณีที่พบการไม่สุจริต ซึ่งต้องมีมาตรการลงโทษด้วย” โฆษกรัฐบาลระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 เม.ย. 66)
Tags: ประชุมครม., มติคณะรัฐมนตรี, สหกรณ์, อนุชา บูรพชัยศรี