นายจิม เครเมอร์ พิธีกรประจำสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีแสดงความเห็นเมื่อวันพฤหัสบดี (16 มี.ค.) ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อสกัดเงินเฟ้ออีกต่อไป หลังจากเกิดวิกฤตในภาคธนาคาร
ทั้งนี้ นายเครเมอร์กล่าวว่า เมื่อ 10 วันก่อน นักลงทุนต่างคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 0.50% หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดออกมาเอ่ยถึงข้อมูลเงินเฟ้อเดือนม.ค.และตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยในเวลานั้นนายพาวเวลเตือนว่า หากเงินเฟ้อยังคงแข็งแกร่งต่อไป เฟดอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ และอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าครั้งละ 0.25%
นายเครเมอร์ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งถัดไป จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) ล่มสลายเมื่อเร็ว ๆ นี้
หลังจากธนาคาร SVB ล้ม หน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบก็ลงมือปิดธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) ในรัฐนิวยอร์ก ขณะที่ เครดิต สวิส (Credit Suisse) จากสวิตเซอร์แลนด์ และเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank : FRB) ในรัฐแคลิฟอร์เนียออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่อง
“เดิมทีเราคิดว่านายพาวเวลจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% เพราะเงินเฟ้อไม่ยอมชะลอตัวลงเสียที แต่ในขณะนี้เราต่างก็ทราบดีว่า เขาไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด เพื่อสกัดเงินเฟ้ออีกแล้ว เนื่องจากกระแสแห่ถอนเงินในปัจจุบันจะช่วยทำหน้าที่แทนเขาเอง” นายเครเมอร์กล่าว
อนึ่ง ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากมีข่าวว่ากลุ่มสถาบันการเงินรายใหญ่จะช่วยกอบกู้สภาพคล่องให้กับ FRB ด้วยการฝากเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนเครดิต สวิสจะกู้เงินจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์สูงถึง 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 มี.ค. 66)
Tags: ธนาคารกลางสหรัฐ, วิกฤตแบงก์, อัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ, เฟด