ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าผู้บริโภคในสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เกิดจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค จะพุ่งขึ้นอีกประมาณ 8% ในเดือนเม.ย.
ปธน.ไบเดนกล่าวว่า ทำเนียบขาวกำลังทบทวนมาตรการเก็บภาษีนำเข้าที่อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์เคยบังคับใช้ และมีแนวโน้มที่จะยกเลิกทั้งหมด เนื่องจากการกำหนดภาษีนำเข้าได้ส่งผลให้ราคาสินค้าทุกประเภทปรับตัวสูงขึ้น ตั้งแต่ผ้าอ้อมเด็กไปจนถึงเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์
“เรากำลังประเมินสถานการณ์ว่า อะไรที่จะทำให้เกิดผลกระทบในเชิงบวกมากที่สุด และเรากำลังพิจารณาถึงการยกเลิกมาตรการเก็บภาษีที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย” ปธน.ไบเดนกล่าว
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีนด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมาเป็นเวลานาน โดยมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมสินค้าที่ผลิตโดยอเมริกัน
บรรดานักเศรษฐศาสตร์กำลังอภิปรายกันว่า การยกเลิกมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐได้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า การผ่อนปรนหรือการยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้งหมดนั้น อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกเพียงไม่กี่ทางที่ทำเนียบขาวจำเป็นจะต้องทำ เพื่อฉุดต้นทุนสินค้าทุกประเภทให้ลดลง
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนย้ำว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งภายในและต่างประเทศ ประกอบกับการที่รัสเซียใช้กำลังทหารรุกรานยูเครนนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐพุ่งขึ้นรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980
“ผมต้องการให้ชาวอเมริกันทุกคนทราบว่า ผมให้ความสำคัญกับสถานการณ์เงินเฟ้อเป็นอย่างมาก ผมมองว่าสาเหตุแรกที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อคือโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 1 ศตวรรษ ซึ่งโรคระบาดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการชัตดาวน์ของเศรษฐกิจทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและอุปสงค์เป็นวงกว้าง และในปีนี้เรากำลังเผชิญกับสาเหตุที่สอง คือการที่ปธน.ปูตินเข้าทำสงครามในยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” ปธน.ไบเดนกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ค. 65)
Tags: ดัชนีราคาผู้บริโภค, สหรัฐ, โจ ไบเดน