วิคเตอร์ คาโตนา นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันดิบจากบริษัทเคปเลอร์ (Kpler) คาดการณ์ว่า หากสหภาพยุโรป (EU) ตัดสินใจระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียตามข้อเสนอของนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) จะส่งผลให้การผลิตน้ำมันของรัสเซียลดลงอีก 10% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดน้ำมันโลกสูญเสียอุปทานน้ำมันมากถึง 2 เท่าจากเดิมที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากกรณีที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน
“เราตั้งสมมติฐานว่า ความเสี่ยงที่รัสเซียจะต้องเผชิญหลังจากถูก EU แบนนำเข้าน้ำมันคือ การผลิตน้ำมันดิบและน้ำมันกลั่นจะลดลงราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับของเดือนเม.ย.”
นายคาโตนากล่าว
นางฟอน เดอร์ เลเยน ได้เสนอต่อที่ประชุมรัฐสภายุโรปเมื่อวานนี้ (4 พ.ค.) ว่า EU ควรระงับการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียภายในเวลา 6 เดือน และระงับนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นจากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียรุกรานยูเครน
อย่างไรก็ดี มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียในครั้งนี้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิก EU ทั้งหมด 27 ประเทศก่อนที่จะมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ บริษัทเคปเลอร์ประมาณการว่า หากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ EU ก็จะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซียในปริมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนได้ผลักดันให้ EU ใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียแล้วหลายครั้ง แต่การที่จะระงับนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างสิ้นเชิงนั้น ถือเป็นประเด็นที่เปราะบางมาก เนื่องจาก EU จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากรัสเซียซึ่งรวมถึงน้ำมัน ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติของ EU ระบุว่า ในปี 2563 กลุ่ม EU นำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียในสัดส่วน 25% ของยอดนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ค. 65)
Tags: EU, คว่ำบาตร, น้ำมัน, น้ำมันดิบ, รัสเซีย, สหภาพยุโรป