บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) คาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2/65 และทั้งปี 65 ที่ประมาณ 467,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เติบโตจากปี 64 จากการรับรู้ยอดขายเต็มปีเป็นปีแรกของโครงการมาเลเซีย แปลงเอช และโครงการโอมาน แปลง 61 รวมถึงการเริ่มผลิตปิโตรเลียมของโครงการจี 1/61 และโครงการ แอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ซึ่งจะเริ่มการผลิตในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ด้วย
ส่วนราคาขายนั้น ราคาน้ำมันดิบของบริษัทจะผันแปรตามตลาดโลก โดยการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบดูไบจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ได้แก่ สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงระยะเวลาที่จะสิ้นสุดสงคราม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การปล่อยน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์และปริมาณการผลิตจากประเทศผู้ผลิตหลัก ๆ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ ส่งผลให้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 65 อยู่ระหว่าง 90-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย การฟื้นตัวของอุปสงค์การชะลอตัวของเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่สูง นโยบายการเงินจากธนาคารกลาง รวมไปถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่านและเวเนซุเอลาที่อาจจะได้รับการยกเลิกในปีนี้
ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทนั้นมีโครงสร้างราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน บริษัทคาดว่าราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2/65 และทั้งปี 65 จะอยู่ที่ประมาณ 6.2 และ 6.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็นผลจากการปรับราคาย้อนหลังของราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งได้สะท้อนช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTEP กล่าวว่า ในไตรมาส 1/64 ผลการดำเนินงานมีรายได้รวม 2,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 68,890 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 4/64 ซึ่งมีรายได้ 1,989 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 66,222 ล้านบาท) สาเหตุหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 427,368 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เทียบกับ 420,965 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาส 4/64 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตและขายก๊าซขั้นต่ำของโครงการอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 1 นี้ บริษัทมีรายจ่ายจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-operating items) โดยมีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน จำนวน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากผลประกอบการดังกล่าว ส่งผลให้ PTTEP มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ 318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4/64 ที่มีกำไรสุทธิที่ 321 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 10,646 ล้านบาท) สำหรับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) อยู่ที่ 26.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ 78% ซึ่งเป็นไปตามที่เป้าหมายที่วางไว้
“การดำเนินงานหลักของปีนี้ ปตท.สผ. ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในโครงการจี 1/61 หลังจากบริษัทเข้าเป็นผู้ดำเนินการ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565 โดยจะเร่งแผนงานการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนและประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสทางการลงทุนในธุรกิจใหม่นอกเหนือจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทำการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตกรีนอีเมทานอลซึ่งเป็นพลังงานสะอาด และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท.สผ.ที่จะสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นายมนตรี กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 65)
Tags: PTTEP, ก๊าซธรรมชาติ, น้ำมัน, น้ำมันดิบ, ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม, พลังงาน, มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล, หุ้นไทย