นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในเดือน มี.ค.65 ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลงมาที่ 3.09% จากการสำรวจเดือน ม.ค.65 อยู่ที่ 3.71% เนื่องจากมีปัจจัยความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิ-19 สายพันธุ์โอมิครอน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ราคาพลังงานที่ปรับขึ้นสูง เศรษฐกิจโลกชะลอลงจากเดิม
อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวที่ 3.09% ดังกล่าว ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ และมีโอกาสที่จะได้รับการปรับคาดการณ์ขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังหากการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีขึ้น และหากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจะทำให้ในปีหน้ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้มากกว่า 4% ขึ้นไป
นอกจากนั้น ยังคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ 1,800 จุด จากทิศทางเงินทุนไหลเข้า แม้ว่าในไตรมาส 2/65 คาดว่าตลาดหุ้นจะยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว เนื่องจากหลายเหตุการณ์ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แม้คาดว่าจะยังมีเงินทุนไหลเข้ามาได้อีก แต่คงไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นปรับขึ้นไปได้มากนัก
แต่อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์สงครามคลี่คลายลง และทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้นักลงทุนกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อลดลง และการใช้เงินงบประมาณเพื่อพยุงราคาน้ำมันและช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนลดลง ก็จะทำให้มีเงินไปใช้ในโครงการอื่นได้มากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ในต่างประเทศยังมีความกังวลต่อทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อยู่บ้าง
“ไตรมาส 2 ยังไม่ได้มีทิศทางเปลี่ยนแปลงมาก แต่ครึ่งปีหลังที่จะเห็นตลาดหุ้นขึ้นไปได้มากกว่านี้ ขึ้นกับทิศทางท่องเที่ยว ถ้าโชคดีไม่มีโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ มาให้เป็นที่กังวล น่าจะเป็นอีกตัวช่วย เงินเฟ้อปรับลงมาได้ทั่วโลกน่าจะทำให้นักลงทุนผ่อนคลายกังวล และน่าจะมีการปรับประมาณการจีดีพีขึ้นบ้าง น่าจะเห็นแรงส่ง และหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งออกมาก็น่าจะได้เห็นการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก็จะสร้างแรงส่งจากเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก”
นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังเลื่อนการจัดเก็บภาษีจาการซื้อขายหุ้นนั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ได้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มากนัก เพราะเมื่อมีการเปิดเผยแนวคิดนี้ออกมาก็ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นปรับลงไปมากนัก แต่ถือเป็นบวกต่อทิศทางการพัฒนาตลาดหุ้นในระยะยาว เนื่องจากทำให้เรารักษาความสามารถแข่งขันกับตลาดหุ้นในภูมิภาคได้ ขณะที่ช่วงนี้ควรใช้ประโยชน์ตลาดทุนให้เต็มที่จากช่วงที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาค่อนข้างมาก
ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าราว 20 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 130% ของ GDP ซึ่งสูงมาก และสามารถต่อยอดไปได้อีก ดังนั้นวันนี้อยากเห็นรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นแหล่งช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในช่วงยกร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับ 4 ด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 เม.ย. 65)
Tags: FETCO, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, ไพบูลย์ นลินทรางกูร