นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บล.โกลเบล็ก ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.เจดีฟู้ด (JDF) เปิดเผยว่า JDF ปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)
โดยมีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเต็มจำนวน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งศักยภาพการเติบโตในอุตสาหกรรมอาหาร แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทก็ยังบริหารธุรกิจและจัดการความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่า JDF จะได้รับการตอบรับที่ดีในวันเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม วันที่ 7 เม.ย.65
JDF เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 150 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท กำหนดราคาเสนอขายหุ้นละ 2.60 บาท โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 แห่ง คือ บล.เคทีบีเอสที, บล.พาย, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เอเอสแอล
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน JDF กล่าวเสริมว่า JDF จะเป็นอีกหุ้นเด่นที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น มีโรงงานแห่งใหม่ที่มีมาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล สามารถเพิ่มกำลังการผลิตพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในยุค New Normal เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูประดับประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศและลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่ม เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต จึงมองว่า JDF จะเป็นหุ้นคุณภาพสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทที่มีจุดแข็งและปัจจัยส่งเสริมการเติบโตที่มั่นคงตามเทรนด์การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก
นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JDF เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 370.50 ล้านบาท เพื่อขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย ลงทุนในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูงและลงทุนในระบบเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตและเชื่อมโยงด้านข้อมูล และใช้ชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน โดยระยะเวลาในการใช้เงินปี 65-67
ด้วยจุดแข็งด้านนวัตกรรมอาหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปมายาวนานกว่า 20 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่มากมาย การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้เป็นการสนับสนุนให้บริษัทฯได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปของคนไทยสู่ระดับโลก
ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JDF คือ กลุ่ม “ครอบครัวหอสัจจกุล” โดยมีสัดส่วนก่อน IPO 75% หลัง IPO 54.87% และนางสาวรัตนา สัดส่วนก่อน IPO 25% หลัง IPO 18.28%
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ภายหลังหุ้นของบริษัทซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นายธีรบุล หอสัจจกุล และนางสาวรัตนา มีความประสงค์จะขายหุ้นสามัญเดิมที่ถืออยู่ในบริษัทให้แก่กรรมการอิสระและผู้บริหาร เพื่อสร้างแรงจูงใจหรือเสริมสร้างกำลังใจให้กรรมการอิสระหรือผู้บริหารในการร่วมงานกับบริษัท โดยจะมีการซื้อขายหุ้นสามัญเดิม 11,000,000 หุ้น คิดเป็น 1.85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย ในเท่ากับราคาเสนอขาย IPO ในวันแรกที่หุ้นของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายใน SET ผ่าน Big Lot ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกนี้
ทั้งนี้ การขายหุ้นดังกล่าวของ นายธีรบุล และนางสาวรัตนา จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกลุ่มผู้ถือใหญ่ของบริษัท โดยภายหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเดิมแก่กรรมการบริษัทและผู้บริหารดังกล่าว กลุ่มครอบครัวหอสัจจกุล และนางสาวรัตนา ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นไม่น้อยกว่า 70% ของจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งยังคงมีอำนาจในการเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 มี.ค. 65)
Tags: IPO, JDF, กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ, รัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์, หุ้นไทย, เจดีฟู้ด, เอกจักร บัวหภักดี, แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์