นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนา B2B Marketplace หรือตลาดค้าส่งออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการ ภายใต้ชื่อ “maknet” ภายใต้กลยุทธ์ End to End Solution ตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าร้านอาหารแบบครบวงจร ทั้งสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทั้งที่มีจำหน่ายในแม็คโคร และยังขยายสินค้าเพิ่มเติมจากร้านค้าพันธมิตรอีกกว่า 1,000 รายที่เข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์ม “maknet” ในปัจจุบัน
แพลตฟอร์ม “maknet” เข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นใน store จำกัด ซึ่งจะสามารถขยายจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นทั้งซัพพลายเออร์ทั้งรายเก่าและรายใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการ SME โดย แม็คโคร ก็จะเป็นส่วนหนึ่งด้วย โดยมีสินค้าอาหารสดอาหารแห้งเข้าไปขายในแพลตฟอร์มนี้ รวมถึงซัพพลายเออร์อื่นจะเสริมสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร เป็นจำพวกอุปกรณ์ และยังเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่ทำให้ขยายฐานลูกค้ามากขึ้น
ทั้งนี้ maknet จะเปิดตัวอย่างเป็นทางในไตรมาส 2/65 ในกทม.ที่จะมี Store ที่เป็นจุดส่งสินค้า โดยบริษัทตั้งเป้าหมายใช้งบลงทุน 2 พันล้านบาท ในช่วง 4 ปี (ปี 64-67) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม maknet
นางสุชาดา กล่าวว่า maknet จะเป็น New S-Curve ของบริษัท โดยคาดว่าจะช่วยผลักดันให้สัดส่วนรายได้จากออนไลน์ (Omni Channel) เพิ่มเป็น 30% ของรายได้รวม จากปี 64 ที่มีสัดส่วน 12% ของรายได้รวม 2.2 แสนล้านบาท หรือราว 26,400 ล้านบาท และเป็น B2B Marketplace อันดับหนึ่งของไทย
“ด้วยจุดแข็งของแม็คโครที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจกับ B2B กว่า 30 ปี ทำให้เรามีความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง และด้วยความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เติบโตมาด้วยกัน ทำให้ maknet เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจรสำหรับ B2B มีจุดเด่นครอบคลุมสินค้ากว่า 100,000 รายการ ประกอบกับเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเลือกซื้อสินค้าอย่างสะดวก ผ่านช่องทางออนไลน์
เป้าหมายของเรา คือ การพัฒนา maknet ให้ก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์ม B2B online Marketplace อันดับ 1 ของไทย ด้วยจุดเด่นคือความครบจบในที่เดียว เป็นแพลตฟอร์มแรกที่ลูกค้าผู้ประกอบการจะนึกถึง ในทุกช่วงเวลาของการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะต้องการเปิดร้าน หรือเปิดอยู่แล้วต้องการหาวัตถุดิบใหม่ๆ รวมถึงการปรับปรุง ขยายร้านก็ตาม”นางสุชาดา กล่าว
ปัจจุบัน maknet มีร้านค้าที่เข้าร่วมบนแพลตฟอร์มแล้วประมาณ 1,000 ราย โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี (ปี 67) คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ราย และมีลูกค้าผู้ประกอบการ 500,000 ราย ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับ MAKRO ต่อยอดมาจาก MakroClick ที่เปรียบเสมือนการยกห้างแม็คโครมาไว้บนออนไลน์ ทั้ง website และ Mobile Application ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
นางสุชาดา กล่าวว่า จากการผลักดันช่องทางขายผ่านออนไลน์มากขึ้น บริษัทจะปรับการขยายพื้นที่สาขาใหม่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ใหญ่ปรับเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ที่เน้นเป็น Food Service จำนวนพื้นที่ 1-2 พันตร.ม. จากเดิมที่ต้องมีพื้นที่ 5 พันตร.ม.ในการขยายสาขา เพราะต้องการให้มีสาขาใกล้ลูกค้าให้มากขึ้น และใช้เงินลงทุนไม่มาก ซึ่งในปี 65 บริษัทตั้งงบลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท ใช้ขยายสาขาทั้งในประเทศ 30 สาขา และต่างประเทศ 5 สาขา ในอินเดีย 3 สาขา และกัมพูชา 2 สาขา รวมถึงระบบไอที และพัฒนาแพลตฟอร์ม maknet
สำหรับสาขาแม็คโครในต่างประเทศ ได้รับการตอบรับดีขึ้นมาหลังการระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยปัจจุบันสาขาในต่างประเทศยังมีค่อนข้างน้อย หลังจากนี้ก็จะเร่งขยายสาขา นอกจากนี้เตรียมที่จะนำแพลตฟอร์ม maknet ขยายไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อขยายค้าส่งออนไลน์ เพราะเชื่อว่า maknet จะเป็นตัวจักรสำคัญสำหรับแม็คโครที่สามารถทำธุรกิจผ่านออนไลน์อย่างไม่มีขีดจำกัด
ปัจจุบัน (มี.ค.65) แม็คโครมีจำนวนสาขา 151 สาขา เป็นสาขาในประเทศ 144 สาขา (เพิ่มขึ้นมา 2 สาขาจากสิ้นปี 64) และในต่างประเทศ 7 สาขา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 มี.ค. 65)
Tags: MAKRO, สยามแม็คโคร, สุชาดา อิทธิจารุกุล