นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระหว่างปรับตัวไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต EXIM BANK จึงเร่งขยายความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนลูกค้าที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมกันสร้างเศรษฐกิจ BCG ที่สอดรับการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเมกะเทรนด์ในโลกยุค Next Normal
โดย EXIM BANK มีโครงการระดมทุนผ่าน Green Bond เพื่อสนับสนุนธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี ทั้งนี้ EXIM BANK อยู่ระหว่างจัดตั้งกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing Framework) รวมทั้งกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับ Green Bond ที่จะออกในช่วงเดือนกันยายน 2565
นายรักษ์ กล่าวว่า นับแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 EXIM BANK ได้ขยายการสนับสนุนการค้าและการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ต่อมาได้ขยายการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ เศษวัสดุการเกษตร ขยะเหลือทิ้ง ความร้อนใต้พิภพ และลม มาสร้างพลังงาน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นและเมียนมา โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม
โดย EXIM BANK มีความพร้อมในการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน โดยเฉพาะในระยะแรกของโครงการที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเป็นผู้ริเริ่มพัฒนา Ecosystem ตลาดคาร์บอน ด้วยสินเชื่อเพื่อลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Orchestra) วงเงินกู้ 7 ปี ให้กู้ 100% ของเงินลงทุนเพื่อชำระผู้รับเหมาเมื่อติดตั้งเสร็จ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2.75% ต่อปี พร้อมสิทธิขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และสิทธิยกเว้นภาษี 50% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อช่วยกิจการประหยัดค่าไฟและแก้ปัญหาโลกร้อน โดยมี EXIM BANK ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายและหน่วยงานกำกับดูแลเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร พร้อมทั้งร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งและกรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100 Thailand Club) เครือข่าย Thailand Carbon Neutral Network และ Carbon Markets Club
“นับเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ EXIM BANK ได้ดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เชื่อมโยงการพัฒนาในมิติเศรษฐกิจกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดจำนวนรวม 254 โครงการในไทย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และญี่ปุ่น มูลค่าโครงการลงทุนรวม 370,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน”
นายรักษ์กล่าว
ขณะที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายรักษ์ พร้อมด้วย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ได้ให้การต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมนำชมนิทรรศการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สร้างโลกสะอาดด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK ที่ทำเนียบรัฐบาล
จากนั้น นำเสนอแนวทางการดำเนินงานของบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (AMITA) ในเครือ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ลูกค้า EXIM BANK ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน กำลังการผลิตขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK รายงานว่า พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เนื่องจากเป็นต้นทุนและเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน รัฐบาลจึงมุ่งเน้นสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) รวมทั้งสนับสนุนการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า มุ่งให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประชาคมโลก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 มี.ค. 65)
Tags: EXIM BANK, Green Bond, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, รักษ์ วรกิจโภคาทร