นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิเผยว่า กระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เพื่อประเมินผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครนที่มีต่อเศรษฐกิจไทย เบื้องต้นยอมรับว่าในระยะสั้นมีผลกับราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าหากสถานการณ์ดังกล่าวจบเร็ว จะกระทบกับราคาพลังงานในช่วงสั้นเท่านั้น แต่ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่บ้าง
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบกับภาคการท่องเที่ยว โดยปีนี้ ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไว้ 7 ล้านคน ซึ่งอาจต้องมาหารือในประเด็นนี้อีกครั้ง รวมทั้งยังอาจมีผลกระทบกับการส่งออกและนำเข้า โดยในปี 2564 ไทยส่งออกไปรัสเซีย ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท แม้จะไม่ถึง 1% ของมูลค่าการส่งออก แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“สภาพัฒน์ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะโตได้ 4% หรือในกรอบ 3.5-4.5% ซึ่งถ้าขยายตัวอยู่ในกรอบนี้ ก็เป็นเรื่องที่รับได้ ถึงแม้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้การเติบโตหลุดจากกรอบล่าง 3.5% ไปบ้างเล็กน้อย ดังนั้น ต้องติดตามดูสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด หากสูงกว่า 120 ดอลล่าร์ต่อบาเรลไปนาน ๆ ก็จะต้องกลับมาพิจารณาว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ที่จะต้องลดภาษีน้ำมันดีเซลเพิ่มเติม”
นายอาคม กล่าว
ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลัง ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงพลังงาน เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน เพราะถือเป็นปัจจัยการผลิตที่เป็นต้นทุนของค่าครองชีพ ซึ่งโชคดีว่าในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สร้างสัมพันธ์อันดักับประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นมิตรประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
รวมทั้งยังได้สั่งการในที่ประชุม ครม. ให้ส่วนราชการร่วมกันประหยัด และใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น หากไฟฟ้า หรือเครื่องปรับอากาศในส่วนไหนที่ไม่มีความจำเป็นก็ให้ปิด ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 10-20% รวมทั้งยังได้สั่งการไปยังกระทรวงคมนาคม ให้ประสานกับผู้ประกอบการในภาคขนส่งสินค้า ให้พิจารณาเรื่องการตีรถเที่ยวเปล่า โดยกำชับให้ขนส่งสินค้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 มี.ค. 65)
Tags: ราคาน้ำมัน, ราคาพลังงาน, สภาพัฒน์, สันติ พร้อมพัฒน์, อาคม เติมพิทยาไพสิฐ, เศรษฐกิจไทย