นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า บริษัท คาดการณ์ปริมาณจำหน่ายน้ำมันปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน เป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้น อิงจากคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.5-4.5% จากปีก่อน 1.6% เนื่องจากภาคการส่งออกยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นยอดจำหน่ายทั้งในกลุ่มธุรกิจ Mobility และ Lifestyle
ขณะที่หน่วยงานภาครัฐได้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติปีนี้ที่ 5.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่เข้ามาราว 3 แสนคน จากนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยว ทั้งการกักตัวที่ลดระยะเวลาลง และมาตรการการควบคุมโรคลักษณะบับเบิ้ลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของ OR
ทั้งนี้ OR คาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 78.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ที่ 69.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวทำให้มีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น สวนทางกับปริมาซัพพลาย (แหล่งผลิต) ที่มีอยู่เท่าเดิม และในระยะสั้นที่ราคาน้ำมันถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อของไทยที่จะปรับตัวขึ้นในปีนี้ราว 1.7% จากปีก่อน 1.2% นั้น บริษัทมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลิตภัณฑ์ของ OR ยังเป็นปัจจัยหลักที่จำเป็นในการบริโภค รวมถึงในเรื่องของโควิด-19 คาดว่าภาครัฐจะสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้นทั้งในระดับจังหวัดและประดับประเทศ อีกทั้งการกระจายวัคซีนทพได้อย่างทั่วถึง จึงเชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลเชิงลบมากนัก
“การดำเนินงานในปี 65 OR ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยมุ่งสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตร่วมกับสังคมชุมชน (People) และสิ่งแวดล้อม (Planet) ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงาน (Performance) โดยการใช้จุดแข็งด้าน Physical Platform อาทิ PTT Station ร้าน Cafe Amazon ในทำเลที่มีศักยภาพทั่วประเทศและในต่างประเทศ ควบคู่กับ Digital Platform เช่น ระบบ Loyalty Program การชำระเงินผ่าน Digital Payment รวมกับความเชี่ยวชาญด้านการตลาด การบริหารงานอย่างมืออาชีพ และความเชื่อถือทั้งจากคู่ค้าและลูกค้าที่มีต่อ OR มาอย่างยาวนาน เพื่อส่งต่อโอกาสให้กับผู้ประกอบการในทุกขนาดเติบโตไปพร้อมกัน (Inclusive Growth)
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility จะมุ่งรักษาสถานะความเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และขยายขอบเขตไปเป็นธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (Energy Solution Ecosystem) เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด, กลุ่มธุรกิจ Lifestyle มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในตลาดร้านกาแฟ รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึง Start-up ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR เพื่อสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Global มุ่งขยายฐานการดำเนินธุรกิจสู่ตลาดโลก โดยใช้ประโยชน์จากแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจของ OR ผสมผสานและปรับผลิตภัณฑ์ของ OR ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแต่ละประเทศ (Localization)
กลุ่มธุรกิจ Innovation OR มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจที่แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ศักยภาพที่มีอยู่ร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ในการร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อสร้างตลาดใหม่และธุรกิจใหม่ เพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับ OR (OR Innovation) ซึ่งจะทำให้ OR เติบโตไปพร้อมกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”
นางสาวจิราพร กล่าว
นางสาวจิราพร กล่าวอีกว่า บริษัทวางงบลงทุน 5 ปี (65-69) ไว้ที่ 9.3 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ แบ่งเป็นใช้ในกลุ่มธุรกิจ Mobility ราว 36.3% ซึ่งปีนี้วางเป้าขยายสาขา PTT Station เพิ่มอีก 129 สาขา และ EV station Pluz เพิ่มอีก 200 สาขาใน PTT Station ส่งผลทำให้ปีนี้จะมีสาขาครบทั้งสิ้น 300 สาขา และนอกสถานีบริการจะเปิดเพิ่มอีก 150 สาขา
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายปริมาณการจำหน่ายในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก หรือสถานีบริการน้ำมัน PTT Station หรือการค้าตลาดพาณิชย์ ทั้ง LPG, น้ำมันอากาศยาน, น้ำมันบังเกอร์, ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเป็นผู้นำในประเทศไทย และในปีนี้ก็เตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวต่อไป
ด้านกลุ่มธุรกิจ Lifestyle จะใช้เงินลงทุนราว 21.8% ขยายร้าน Cafe Amazon ปีนี้จะเพิ่มอีก 389 สาขา, Texas Chicken จะเพิ่มอีก 20 สาขา
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Global จะใช้ราว 14.2% วางเป้าขยายสาขา PTT Station ในต่างประเทศเพิ่ม 73 สาขา และ ร้าน Cafe Amazon เพิ่มอีก 129 สาขา อีกทั้งยังเดินหน้าสร้างคลังแห่งใหม่ที่กัมพูชา เพื่อรองรับการขยายตัวด้านเชื้อเพลิง ส่วนในจีน ปัจจุบันเน้นสาขา Cafe Amazon และผลิตภัณฑ์หล่อลื่น โดยปีนี้จะขยายไปในมณฑลอื่นๆ ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี อย่างไรก็ตามการขยายธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทจะใช้รูปแบบจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อประหยัดเรื่องของเวลาและการขอใบอนุญาตต่างๆ
พร้อมกันนี้จะใช้เงินลงทุนในส่วนของ OR Innovation ราว 20.4% และอื่นๆ 7.3%
นางสาวจิราพร กล่าวว่า จากการลงทุนดังกล่าว บริษัทคาดหวังกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในช่วง 5 ปี ต้องการเห็น Mobility เปลี่ยนสัดส่วนจาก 76% เป็น 45% เนื่องด้วย OR ต้องการไปขยายในส่วนของ Lifestyle และ Innovation ให้มากขึ้น ทำให้จะมี EBITDA เติบโตเป็น 39% จากปัจจุบันอยู่ที่ 21% ส่วน Global จะเพิ่มจาก 3% เป็น 15%
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีดีลซื้อกิจการ (M&A) และร่วมลงทุนกับพันธมิตร (JV) อีกไม่น้อยกว่า 3-4 ดีล ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเฮลท์ แอนด์ เวลเนส และการท่องเที่ยว โดยมองว่าพันธมิตรที่จะมาร่วมกับบริษัทจะต้องเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งจุดเด่นของ OR คือการมีแพลตฟอร์มรองรับฐานลูกค้าจำนวนมากทั้งสถานีบริการน้ำมัน (PTT Station) และร้าน Cafe Amazon รวมถึงพื้นที่นอก PTT Station ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
บริษัทยังพร้อมที่จะเปิดรับโทเคนดิจิทัลเข้ามาสู่โปรดักส์ของ OR หากมีกฎหมายรองรับ เพราะทุกวันนี้ก็ได้ศึกษาและเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งนี้ ยอมรับว่าปัจจุบันบริษัทได้ศึกษาเรื่องโทเคน และกัญชง-กัญชาไว้ล่วงหน้าแล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.พ. 65)
Tags: OR, จิราพร ขาวสวัสดิ์, ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก, หุ้นไทย