นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังการสัมมนาเรื่อง “สายสีเขียวจะไปอย่างไรต่อ” ว่า กมธ.คมนาคมเห็นควรให้ทุกฝ่ายร่วมผลักดัน เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการต่อสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ไปต่อได้ ภายใต้หลักการธรรมาภิบาล ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาผลการเจรจาและเร่งสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแล้ว ครม.พิจารณาไม่เห็นชอบ กทม.จะมีแนวทางในการดำเนินการ ดังนี้
กรณีที่ 1 ดำเนินการต่อสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้
กรณีที่ 2 ให้กระทรวงมหาดไทยโดย กทม.พิจารณาทบทวนผลการเจรจา และปรับปรุงร่างสัญญาสัมปทานแล้วจึงดำเนินการตามคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 ข้อ 3 เพื่อให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายที่ 1 และโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) รวมทั้งอัตราค่โดยสารเป็นไปอย่างเหมาะสม ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยคณะกรรมการมีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์จากค่าโดยสาร รวมถึงหลักเกณฑ์อื่น เพื่อประโยชน์ในการรวมโครงการรถฟฟ้าสายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายที่ 1 และโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 พร้อมดำเนินการเจรจาร่วมกับผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมทั้งการพิจารณาเจรจาและทบทวนร่างสัญญาสัมปทานอีกครั้ง โดยให้ผู้ว่า กทม.ที่จะได้รับเลือกตั้งใหม่ในปี 2565 มาร่วมพิจารณาดำเนินการ ภายใต้การรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภค ประชาชนผู้ใช้บริการ แล้วจึงนำมาเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดได้ อาทิ การคิดคำนวณอัตราค่าโดยสาร การบริหารจัดการรายได้ รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้สินภายใต้กรอบระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งการแก้ไขภาระหนี้สินที่ กทม.แบกรับในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวควรแบ่งการพิจารณา ดังนี้
ภาระหนี้ส่วนที่ 1 งานระบบไฟฟ้าในส่วนต่อขยายกว่า 20,000 ล้านบาท ควรให้กระทรวงการคลังบันทึกทำเป็นรายการหนี้ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องชำระหนี้ในทันที แต่ให้ขอผ่อนผันชำระหนี้ภายหลังการบริหารจัดการรายได้แล้ว
ภาระหนี้ส่วนที่ 2 ค่าใช้จ่ายในการบริหารเดินรถในส่วนต่อขยายกว่า 17,000 ล้านบาท ควรพิจารณาจัดเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายในอัตรา 15 บาทตลอดสาย เพื่อนำรายได้มาแบ่งเบาภาระหนี้สิน และเมื่อดำเนินการบริหารจัดการโครงการ ให้นำรายได้ตลอดทั้งโครงการภายหลังปี 2572 มาบริหารระดมทุนในกองทุนที่จัดตั้งเพื่อบริหารจัดการภาระหนี้สินดังกล่าว สามารถดำเนินการได้อย่างแน่นอน ภายใต้หลักการที่โปร่งใส เป็นธรรม ทุกฝ่ายตรวจสอบได้ อันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างยั่งยืนต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.พ. 65)
Tags: กระทรวงคมนาคม, รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียว, โสภณ ซารัมย์