รมว.สธ. ชี้ศบค.ยังไม่หารือผ่อนคลายเพิ่ม เหตุยอดติดเชื้อโควิดรายวันยังสูง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข้อกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นแตะหลักหมื่นรายต่อวันนั้นว่า เป็นสถานการณ์ในจุดที่กระทรวงสาธารณสุขประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากสายพันธุ์โอมิครอนติดง่าย แต่ความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อตัวอื่น ขณะที่คนไทยได้รับวัคซีนมากขึ้นทำให้ตัวเลขผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตลดลงไป

สำหรับการผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ทราบที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยังไม่หารือเรื่องการปลดล็อก 100% อย่างที่เป็นข่าว เพราะวันนี้มียอดการติดเชื้ออยู่ ต้องไม่ประมาท อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือว่าควบคุมโรคได้ดี และมีประสิทธิภาพ ส่วนสำคัญเพราะฉีดวัคซีนได้ถึงเป้า และประชาชนให้ความร่วมมือ ต้องขอขอบคุณประชาชนเป็นอย่างยิ่งที่มาฉีดวัคซีน ซึ่งรัฐจัดหามาให้ ไปจนถึงการ์ดไม่ตก ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง

เมื่อเดือน ธ.ค.64 ไทยมียอดผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ 3,500-4,000 ราย แต่มีอัตราการเสียชีวิตเท่าปัจจุบันที่มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละกว่า 1 หมื่นราย โดยกลุ่มผู้เสียชีวิตนั้นจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนไปจนถึงกลุ่ม 608 (1.กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 2.กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน 3.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป) โดยกระทรวงสาธารณสุขเข้าใจสถานการณ์และได้พยายามควบคุมการระบาดอย่างเต็มความสามารถ

“ผมเพิ่งได้หารือกับท่านทูตสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด ท่านกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่นานาชาติเห็นชัดในการดำเนินการของไทย คือ เราให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ดังนั้นอย่ากังวลว่าเราจะปกปิดข้อมูล เพราะเราก็คาดหวังจะให้ประชาชนช่วยกับรัฐ ป้องกัน จัดการโรคระบาดเช่นกัน เราจึงเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน เพื่อทำให้สังคมเกิดการตระหนักรู้ เข้าใจ รู้ทันเหตุการณ์ สำหรับเรื่องวัคซีน เราจัดหามาทันใช้ ตามแผนที่วางไว้ ที่ต้องหามามาก เพราะมีทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 เข็มบูสเตอร์ การให้บริการเราคำนึงถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัย จะไม่มีเรื่องของวัคซีนด้อยประสิทธิภาพ เพราะค้างสต็อกแน่นอน” นายอนุทิน กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.พ. 65)

Tags: , , , , ,